การรับไม้ต่อธุรกิจทางบ้านคงเป็นอะไรที่ทุกครอบครัวอยากถ่ายทอดส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น เพื่อรักษาธุรกิจให้คงอยู่คู่กับวงศ์ตระกูลต่อไป
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับช่วงกิจการหรือธุรกิจนั้นมาแล้วทำให้งอกงามเช่นดั่งเดิม เนื่องด้วยยุคสมัยนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทุกธุรกิจก็ล้วนต้องเผชิญความท้าทายมากมาย
แต่ก็มีบางธุรกิจที่ใช้ความดั้งเดิมหรือสูตรพิเศษที่คิดค้นจากรุ่นบรรพบุรุษ มาต่อยอดสร้างจุดเด่น ที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน ก็มีโอกาสทำธุรกิจนั้นให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก
Business On My Way สัปดาห์นี้ขอพาท่านผู้อ่านไปรู้จักผู้ประกอบการผลิต “กุนเชียงโฮมเมด” ภายใต้แบรนด์ “อาม่า” ที่ฟังดูก็ไม่น่าสนใจอะไร คงเป็นกุนเชียงธรรมดาๆ แต่สำหรับกุนเชียงอาม่านั้น หากได้มีโอกาสทดลองทานแล้วจะรับรู้ถึงความแตกต่างของกุนเชียงที่พวกเราได้เคยสัมผัสมาเลยทีเดียว
...
“คุณเอ้” (เนตรเพชรรัสมิ์ ตระกูลบุญเนตร) เจ้าของแบรนด์และผู้รับหน้าที่สานต่อธุรกิจกุนเชียงอาม่า เล่าว่า ตนเองเป็นรุ่นที่ 2 โดยได้ถ่ายทอดความรู้จากคุณแม่ของสามี (เสาวรัตน์ โลหะเนตร) ซึ่งท่านเป็นผู้คิดค้นสูตรกุนเชียงขึ้นมาเอง ซึ่งวันนี้สูตรก้าวสู่ปีที่ 40 แล้ว
“จุดเริ่มต้นของการทำกุนเชียง เกิดจากเดิมทีที่บ้านเปิดร้านจำหน่ายเนื้อหมูที่ตลาดท่าน้ำนนทบุรี (เขียงหมู) ซึ่งก็มีบางวันที่มีเนื้อหมูเหลือขายไม่หมด ซึ่งคุณแม่ก็มานั่งคิดว่าจะมีวิธีใดแก้ไขปัญหาในจุดนี้ เนื่องด้วยหากแช่ไว้แล้วนำมาขายในวันถัดไป ก็จะทำให้คุณภาพเนื้อหมูไม่สด ลูกค้าก็จะไม่ซื้อไปบริโภค โดยใช้เวลาอยู่พักใหญ่ กระทั่งปิ๊งไอเดียนำเนื้อหมูนั้นมาทำเป็นกุนเชียง”
ตอนนั้นที่คิดทำกุนเชียง คุณแม่ก็อาศัยความรู้ที่ชอบทำอาหารเป็นทุนเดิม มาพัฒนาทำกุนเชียง ซึ่งก็ลองผิดลองถูกทุกขั้นตอนมาด้วยตนเอง ซึ่งช่วงแรกๆท่านเล่าให้ฟังว่าคิดว่ากุนเชียงจะทำง่าย แต่ในความเป็นจริงมีรายละเอียดขั้นตอนที่ต้องอาศัยความพิถีพิถัน
เริ่มตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบไปจนถึงสูตรของส่วนผสม รวมถึงเรื่องการอบที่ต้องรักษาอุณหภูมิที่พอดี ซึ่งตอนที่ทำก็ตระเวนให้คนในบ้าน และคนใกล้ชิดได้ชิม กระทั่งได้สูตรที่ลงตัวในเรื่องรสชาติก็ทำออกจำหน่าย
คุณเอ้ เล่าว่า จุดจำหน่ายที่แรกเปิดตัวคือที่เขียงหมูของที่บ้าน โดยในช่วงแรกก็จะมีลูกค้าประจำที่มาซื้อหมูทดลองซื้อกุนเชียงไปทาน จนเกิดการบอกต่อปากต่อปากกันในตลาด กลุ่มลูกค้าก็เริ่มขยายขึ้น โดยตอนนั้นยังไม่ได้สร้างแบรนด์จริงจัง คนจะเรียกติดปากกันว่ากุนเชียงเจ๊เค็ง เพราะเป็นชื่อเล่นคุณแม่
ทั้งนี้ คุณแม่ทำกุนเชียงขายอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มเห็นทิศทางการเติบโตว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ จึงตัดสินใจออกมาทำกุนเชียงจำหน่ายอย่างจริงจัง และยกกิจการเขียงหมูให้น้องสาวดูแลต่อ โดยตนเองมาทำกุนเชียงที่บ้านแทน ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งกลุ่มลูกค้ามาซื้อแบบปลีกและรับไปขายต่อ รวมถึงทำส่งตามร้านอาหารอีกด้วย
คุณเอ้ เล่าว่า จากนั้นเมื่อตนเองได้มารับช่วงต่อก็เริ่มมาสร้างแบรนด์ โดยใช้ชื่อว่ากุนเชียงอาม่า ซึ่งคุณเอ้ยังบอกด้วยว่า ความพิเศษของกุนเชียงอาม่าอยู่ที่การคัดสรรแต่หมูเนื้อดีมีคุณภาพ โดยใช้เนื้อหมูล้วนๆไม่มีสิ่งอื่นใดมาผสมนอกจากมันหมูนิดหน่อย เพื่อรักษารสชาติไม่ให้กุนเชียงแห้งและแข็งเกินไป ที่สำคัญเราไม่ใส่สารกันเสีย ซึ่งลูกค้าซื้อไปต้องนำไปแช่ในตู้เย็นก็จะเก็บไว้ทานได้นาน
โดยสารผสมอื่นๆ ก็จะมีน้ำตาลทรายแดง เกลือ ผงปรุงรส ซึ่งก็ไม่ได้มีการใส่สีลงไป โดยสีที่ได้จะเป็นจากตัวเนื้อหมูเองที่ผ่านการอบ 2-3 วัน ซึ่งการอบของเราก็เป็นไฮไลต์เพราะเลือกทำแบบสูตรโบราณโดยใช้เตาถ่าน ซึ่งจะให้กลิ่นที่หอมกว่าการใช้เตาไฟฟ้า
“การเลือกใช้เตาถ่านเพื่ออบกุนเชียงให้แห้งนั้น ต้องอาศัยความรู้และความชำนาญ ซึ่งสิ่งสำคัญคือเรื่องของอุณหภูมิที่ต้องเหมาะสม ไม่เช่นนั้นกุนเชียงจะแข็งไป ไม่สุก และไหม้ได้”
...
คุณเอ้ เล่าว่า นอกจากเวลาการอบแล้ว ขั้นตอนผลิตก็พิถีพิถันไม่ต่างกัน โดยจะเลือกใช้แต่เนื้อหมูจากร้านประจำที่สั่ง เพราะมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพ แล้วนำมาทำการบดผสมคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง จากนั้นก็นำมายัดในไส้หมู ซึ่งก็เลือกใช้ไส้หมูจริงเป็นวัตถุดิบ ซึ่งทุกขั้นตอนเอ้จะทำกับคุณแม่สองคน
ปัจจุบันอัตราการผลิตจะอยู่ที่ 60-65 กิโลกรัม ต่อ 3 วัน หรืออาทิตย์ละ 120 กิโลกรัม ซึ่งก่อนที่จะเริ่มผลิตก็จะรู้จำนวนจากออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา ก็จะสามารถคำนวณปริมาณวัตถุดิบได้ว่าต้องใช้เท่าไหร่ ซึ่งจุดนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะลูกค้าก็จะได้ความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ และเราก็ไม่ต้องมาตุนวัตถุดิบไว้เป็นจำนวนมากๆ
...
สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 300 บาท และแบบครึ่งกิโลกรัม 150 บาท มีให้เลือกทั้งแบบแท่ง และแบบหั่นพร้อมนำไปประกอบอาหาร งานนี้ใครอยากชิมกุนเชียงแบบเน้นเนื้อหมูเต็มคำก็สั่งได้ที่ไลน์ : ae212121 พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ.