แม่ค้าเขียงหมูที่ตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี บ่นอุบหลังราคาหมูหน้าฟาร์มขึ้นราคา กก.ละ 10 บาทจากราคาส่ง กก.ละ 65 บาทเป็น 75 บาท จ่อเตรียมขยับตามก่อนที่จะขาดทุน ชี้ที่ยังไม่ขึ้นตอนนี้เพราะเกรงใจลูกค้า

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่แผงขายหมูของตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี หลังจากที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกร ประกาศว่า นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ขอความร่วมมือผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการปรับต่อเนื่อง รวมเท่ากับเดือนนี้ปรับขึ้นไป 9-10 บาทแล้ว ทั้งนี้โดยอ้างว่าเพื่อลดความเสียหายจากการขายต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งราคาเนื้อหมูเป็นราคาส่งเคยอยู่ที่กิโลกรัมละ 65 บาท ก็ขึ้นมาเป็น 75 บาท ซึ่งนับว่าสูงมาก

ขณะนี้ ราคาเนื้อหมูยังขายอยู่ในราคาเดิม หมูสามชั้นกิโลกรัมละ 200 บาท สันคอ กิโลกรัมละ 200 บาท สันนอก กิโลกรัมละ 200 บาท หมูบด กิโลกรัมละ 180 บาท ซี่โครง กิโลกรัมละ 180 บาท สะโพก กิโลกรัมละ 180 บาท และขาหมู กิโลกรัมละ 180 บาท ซึ่งแม่ค้าก็บ่นกันอุบว่าหากขึ้นราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มมาแบบนี้ ก็จำเป็นจะต้องขยับราคาเนื้อหมูต่างๆ ขึ้นไปอย่างแน่นอน เพราะราคาขายส่งมาสูงมาก กว่าจะผ่านการเชือดมาเป็นเนื้อหมูสดรวมผ่านการขนส่งเข้าไปอีก พอมาถึงมือแม่ค้านั้น ต้นทุนในการซื้อเนื้อหมูมาสูงแล้ว หากไม่ขยับก็จะขาดทุนอย่างแน่นอน ก็จำเป็นจะต้องขึ้นราคาในเร็วๆ นี้

...

สำหรับเหตุผลที่ยังไม่ขึ้นราคาหมูหน้าเขียง ก็เพราะว่ามีความเกรงใจคนที่ซื้อ หรือลูกค้าที่ซื้อกันประจำเลยจำเป็นต้องขายในราคาเดิมไปก่อน ซึ่งทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีคนเดินเข้ามาซื้อหมูในตลาดสดเทศบาลเมืองอยู่แล้ว ก็เพราะว่าบรรดาแม่บ้านที่มาเดินจ่ายตลาดนั้น ก็ต้องประหยัดกันเพราะข้าวของแพงทุกอย่าง แล้วก็ไม่ซื้อหมูเป็นกิโลฯ เหมือนที่เคย ซื้อไปแช่ตู้เย็นไว้หากจะทำกับข้าวที ก็ซื้อแต่พอกิน เพื่อเป็นการประหยัดมากขึ้น

บรรดาแม่ค้า เปิดเผยว่า ในตอนนี้ก็แทบจะไม่มีคนเข้ามาซื้อหมูในตลาดสดอยู่แล้ว เพราะว่าหมูของบริษัทใหญ่ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ และร้านขายเนื้อหมูโดยตรงนั้นราคาถูกกว่ามาก แล้วก็ต่างกันอย่างชัดเจนด้วย แถมยังเป็นร้านที่ติดแอร์ สะดวกสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แม่ค้าเขียงหมู กล่าวด้วยว่า ทำอาชีพขายเนื้อหมู หรือเขียงหมูมานานแล้วกว่า 20 ปีในตลาดสดแห่งนี้ รวมถึงแม่ค้าคนอื่นๆ ก็เช่นกัน หากจะเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นก็คงไม่ทันแล้ว ก็ต้องทนทำไปถึงแม้จะได้กำไรน้อยไม่เหมือนในสมัยก่อน ก็ทำไปดีกว่าไม่มีอะไรทำนั่นเอง.