เลขาธิการ สศก. ชี้ FTA ไทย-ศรีลังกา เป็นโอกาสของสินค้าเกษตร มีแต้มต่อทางภาษี และผู้ประกอบการไทย มีทางเลือกมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิต อีกทั้งยังช่วยกระจายสินค้าไทยไปยังภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากพิธีลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย–ศรีลังกา ซึ่งเป็น FTA ฉบับที่ 15 ของไทย (ฉบับล่าสุด) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายรานิล วิกรมสิงเห ประธานาธิบดีศรีลังกา ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงฯ ซึ่งมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายกัจกธุเค นลิน รุวันชีวะ เฟอร์นานโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า พาณิชย์ และความมั่นคงทางอาหารของศรีลังกา เป็นผู้ลงนาม ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกานั้น การเจรจา FTA ฉบับดังกล่าว ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2561 ก่อนจะหยุดชะงักไป 4 ปี เนื่องจากเกิดปัญหาภายในประเทศของศรีลังกา และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2566 ไทยและศรีลังกาได้กลับมารื้อฟื้นการเจรจาอีกครั้ง และสามารถสรุปผลการเจรจาได้เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2566 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเปิดตลาดสินค้า (ยกเลิก/ลดภาษี) ในระดับร้อยละ 85 ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมด ปัจจุบันทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมายของแต่ละประเทศเพื่อให้ความตกลง มีผลบังคับใช้ก่อนปลายปี 2567

...

เลขาธิการ สศก. กล่าวต่อว่า ปัจจุบันไทยกับศรีลังกามีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรระหว่างในปี 2564-2566 เฉลี่ย 3,248 ล้านบาทต่อปี โดยไทยมีมูลค่าส่งออกไปศรีลังกาเฉลี่ย 2,975 ล้านบาทต่อปี และมีมูลค่านำเข้าจากศรีลังกาเฉลี่ย 273 ล้านบาทต่อปี และจากการจัดทำ FTA ฉบับนี้ ศรีลังกาได้ลด/ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรสำคัญให้ไทย เช่น ปลามีชีวิต ปลาทะเลแห้ง เครื่องปรุง กุ้งมีชีวิต สด/แช่เย็น เมล็ดพืชผักสำหรับเพาะปลูก อาหารสัตว์และของปรุงแต่งที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ และอาหารปรุงแต่งที่ทำจากธัญพืช ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปตลาดโลกสูง

นายฉันทานนท์ กล่าวอีกว่า ในขณะที่ศรีลังกามีความต้องการนำเข้าจากตลาดโลก ดังนั้น จึงเป็นโอกาสให้สินค้าเกษตรไทยได้แต้มต่อทางภาษี ในการเข้าสู่ตลาดศรีลังกาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ทั้งนี้ สำหรับสินค้าเกษตรที่ไทยเปิดตลาดให้ศรีลังกา ส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น แป้งข้าวสาลี ชา มะพร้าวฝอย ปลาทูน่าแช่แข็ง อบเชย กุ้ง หมึกแช่แข็ง และกุ้งมีชีวิต/สด/แช่เย็น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น และจะช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคตอีกด้วย

เลขาธิการ สศก. กล่าวด้วยว่า ความตกลงเขตการค้าเสรีฉบับนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศ ที่จะยกระดับการค้า การลงทุน การอำนวยความสะดวกในทางการค้าให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนของไทยไปยังตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เนื่องจากศรีลังกาตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งจะส่งผลให้ไทยสามารถกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลกได้. 

...