หน้าแรกแกลเลอรี่

แซค ลาวีน ดวงดาวไร้แสงวงการยัดห่วง

ไทยรัฐออนไลน์

10 ก.พ. 2564 07:00 น.

การ์ดซุปเปอร์สตาร์หนุ่ม วัย 25 ปี ที่ฟอร์มร้อนแรงมากๆ กับทีม “ชิคาโก บูลล์ส” ที่ขึ้นแท่นเป็นผู้ทำแต้มหลักของทีมและทำแต้มเฉลี่ยสูงสุดท็อป 5 ของลีกในตอนนี้ แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจกับเจ้าตัวเป็นอย่างมาก เหมือนกับดวงดาวที่ไร้แสง รู้ว่ามีตัวตน แต่กลับไม่เคยมองเห็น

จุดเริ่มต้นของแสง

ในปี 2014 ผู้เล่นหลายคนที่เตรียมพร้อมเข้าสู่การดราฟต์มักจะมีชื่อเป็นตัวจริงในระดับมหาวิทยาลัย แต่ “แซค ลาวีน” หนุ่มน้อยวัย 18 ปี เป็นผู้เล่นสำรองของทีมมหา'ลัยดังในถิ่น แอล.เอ. อย่าง UCLA (University of California, Los Angeles) ที่โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยมในระดับมหาวิทยาลัย แม้เป็นเพียงผู้เล่นสำรองในทีมแต่ดันไปสะดุดตาบรรดาแมวมองหลายทีมใน NBA เป็นอย่างมาก จนถูกชักชวนให้เข้าดราฟต์ในปีแรก (Freshman) ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถือว่ายากมากเพราะด้วยการเป็นตัวสำรองและผู้เล่นปีแรก ยังมีประสบการณ์ระดับสูงไม่มาก

อย่างไรก็ตามเจ้าตัวนั้นถูกจัดอยู่ในโผว่าเขาจะถูกเลือกเป็น 10 ลำดับแรก จนวันที่ 27 มิ.ย. 2014 วันดราฟต์ก็มาถึง เจ้าตัวถูกดราฟต์เป็นลำดับที่ 13 โดย “มินนิโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์” ทีมหมาป่าแดนเหนือ ถือว่าไม่ขี้เหร่มากสำหรับหนุ่มวัยเพียง 18 ปี ที่ได้โอกาสเล่นกับทีมนี้ ด้วยทีมที่เล็กและต้องการสร้างผลงานแฟรนไชส์

- หน้าใหม่ไฟแรง

เส้นทางในปีแรกของเจ้าตัว แม้จะถูกผู้คนพูดถึงฝีมือที่ยังไม่เด่น มีดีแต่ลูกดังค์ยังปรับตัวไม่ได้ จนวันที่แสงเริ่มฉายเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2014 “ลาวีน” สามารถทำแต้มถึง 28 แต้ม นำทีมชนะเหนือ เลเกอร์ส ทีมโหดในช่วงนั้นไปได้ถึง 120-119 นั่นถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่และผลงานก็ดีขึ้นเรื่อยมา จนยึดตัวจริงมาได้และในปีนั้น “ลาวีน” สร้างชื่ออีกครั้งด้วยการเป็นแชมป์ สแลมดังค์ ในเกม ออล-สตาร์ ทำเอาทุกคนฮือฮากันทั่วโลกด้วยสุดยอดท่าดังค์ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้การแข่งสแลมดังค์กลับมามีสีสันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ปีต่อมามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเจ้าตัว เขาอยู่ในหนึ่งของสุดยอดทีมดาวรุ่งในยุคนั้น แฟน “ทิมเบอร์วูล์ฟส์” ต่างเชื่อมั่นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะพาทีมไปสู่รอบเพลย์ออฟได้ แต่ฝันนั้นก็สลายลง ด้วยความที่ทีมใช้ผู้เล่นหน้าใหม่เป็นหลัก ประสบการณ์ยังสู้ไม่ได้ ถึงอย่างนั้นในข้อเสียก็มีข้อดี ทำให้ “ลาวีน” มีเวลาเล่นมากขึ้นและแสงค่อยๆ ฉายออกมาและเหมือนกับปีที่แล้วเขาลงแข่งสแลมดังค์

ช่วงสุดสัปดาห์เกม ออล-สตาร์ ปี 2016 ถือเป็นปีที่แสงของเจ้าตัวนั้นเจิดจ้ามากที่สุด ในเกม Rising Stars 2016 ที่เป็นการพบกันระหว่างผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้าลีกมาไม่ถึง 2 ปี ซึ่ง “ลาวีน” นำทีม USA ชนะเหนือทีม World ไปได้ พร้อมกับรับรางวัล MVP ในปีนั้นไป และในคืนถัดไปเขาร่วมลงแข่ง สแลมดังค์ เป็นปีที่สองและสามรถป้องกันแชมป์ได้ โดยชนะเหนือคู่แข่งสุดแข็งอย่าง “แอรอน กอร์ดอน” การแข่งขันของทั้งคู่ถือว่าเป็นการแข่งขันที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในยุคนี้

แสงไฟใกล้มอด

เปิดฤดูกาล 2016-2017 “แซค ลาวีน” เป็นปีที่สามที่เขาโลดแล่นใน NBA ซึ่งฟอร์มของเจ้าตัวกำลังขึ้น ทำแต้มเป็นกอบเป็นกำ ทำให้แสงในตัวเขากำลังจะผุดขึ้นมาเต็มที่ แต่ฝันร้ายของนักกีฬาก็มาถึง เมื่อผ่านไป 47 เกม “ลาวีน” ต้องปิดฉากฤดูกาลนี้ไปด้วยอาการบาดเจ็บ เอ็นไขว้หน้าเข่าฉีกอย่างรุนแรง ซึ่งทางทีมคาดว่าถ้าเขากลับมาก็อาจจะไม่เหมือนเดิม ในปีนั้นเจ้าตัวทำแต้มเฉลี่ยไป 18.9 แต้มต่อเกม แต่ต้องหมดหวังลง จนทีมตัดสินใจ เทรด “แซค ลาวีน” กับผู้เล่นอีก 2 คน แลกตัวกับ “จิมมี บัตเลอร์” ปีกจอมขยัน ของทีม “ชิคาโก บูลล์ส” ที่ต้องการสร้างทีมใหม่เช่นกัน ส่วน “ทิมเบอร์วูล์ฟส์” ก็ต้องการผู้นำการันตีเข้าเพลย์ออฟให้ได้

ในฤดูกาลใหม่กับทีมใหม่ เจ้าตัวกลับมาลงสนามเกมแรกในรอบ 11 เดือน เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2018 ทำไป 14 แต้มชนะเหนือ “พิสตันส์” ไปได้ และเขาก็ลงสนามเรื่อยมา จนไฟที่เกือบจะมอดไหม้หายไปนั้น กลับมามีแสงอีกครั้งในวันที่ 10 ก.พ. 64 "บูลล์ส” มีคิวเปิดบ้านรับการมาเยือน “ทิมเบอร์วูล์ฟส์” ทีมเก่าของเจ้าตัว และเขาสามารถโชว์ฟอร์มล้างแค้นกดไปถึง 35 แต้ม พาทีมชนะเหนือทีมเก่าไปได้ เรียกความมั่นใจให้เหล่าสาวก “บูลล์ส” ให้กลับมามีหวัง แม้ทีมจะไม่สามารถเข้าเพลย์ออฟได้หลังจบซีซั่น แต่ถึงอย่างนั้น “ลาวีน” ก็เริ่มแผดแสงไฟขึ้นมา ถึงจะน้อยนิดแต่ก็ยังสว่างในทัพ "กระทิงดุ"

“ชิคาโก บูลล์ส” ยอดทีมระดับตำนาน ที่ยังหาคนมานำทีมลุ้นแชมป์อย่างยุคสมัยที่ ไมเคิล จอร์แดน กับ เดริค โรส ยังโลดแล่นในวงการยัดห่วงอยู่ หลังจากที่เข้าเพลย์ออฟปีล่าสุดเมื่อฤดูกาล 2016-2017 แต่ก็ยังแกร่งพอที่จะผ่านรอบแรกไปได้ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง  หลังทีมเซ็นสัญญาก้อนโต 4 ปี 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,334 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว “แซค ลาวีน” มาเป็นความหวังใหม่ และเขาเองต้องเปลี่ยนหน้าที่ตัวเองมาเป็นผู้นำทีมอย่างเต็มตัวถือเป็นบทบาทใหม่ที่ท้าทาย อีกทั้งต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองให้ได้

แสงที่อยู่ใต้เงา

เปิดฤดูกาล 2018-2019 ทันทีที่ได้รับสัญญาใหม่ คำสบประมาททั้งหลายได้ถูกลบไปหมดด้วยฟอร์มการเล่นที่ดุดัน ทำแต้มเฉลี่ยอย่างน้อย 30 แต้มใน 4 นัดแรกของการเปิดฤดูกาล ซึ่ง “ลาวีน” กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 3 ในแฟรนไชส์ที่ทำได้ ก่อนหน้านี้เคยมี “ไมเคิล จอร์แดน” และ “บ็อบ เลิฟ” ดูเหมือนเจ้าตัวได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งและเขาเกือบทำลายสถิติทำแต้มอย่างน้อย 20 แต้ม 15 เกมติดที่ “จิมมี บัตเลอร์” เคยทำไว้ได้

ถึงแม้ “ลาวีน” จะทำแต้มได้อย่างล้นหลาม สร้างชื่อได้หลายเกม ซึ่งในเกมที่ชนะ แอตแลนตา ฮอกส์ 168-161 ต่อเวลาไปถึง 4 ครั้งและสร้างประวัติศาสตร์ เป็นเกมที่ทำแต้มกันมากที่สุดอันดับ 3 ของลีก ซึ่งเจ้าตัวทำไปถึง 47 แต้ม ซึ่งเป็นการทำแต้มสูงสุดของเจ้าตัว ในช่วงเดือนมีนาคมเขาต้องปิดฤดูกาลเร็วกว่าเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บที่เข่าขวา ทั้งๆ ที่เหลือไม่กี่เกม ซึ่งผลงานของเจ้าตัวปีนั้นทำได้ถึง 23.7 แต้ม ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่ทำแต้มได้ท็อป 20 ของลีก

- แสงในมุมมืด

อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถูกพูดถึงการแลกเปลี่ยนตัวกับ “จิมมี บัตเลอร์” ที่เหมือนเป็นการเทรดตัวที่ผิดมหันต์ของ “บูลล์ส” ซึ่ง “บัตเลอร์” ที่ย้ายไปที่ไหนก็พาทีมเข้าเพลย์ออฟได้หมด ไม่ว่าจะเป็น “ทิมเบอร์วูล์ฟส์” ในปี 2018 และ “ซิกเซอร์ส” ในปี 2019 และปีล่าสุดนำทีม “ฮีต” เข้าไปสู่รอบชิงแชมป์ได้ ส่วน “ลาวีน” นั้นยังไม่เคยพิสูจน์ฝีมือบนเวทีระดับเพลย์ออฟเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าเขาจะฝีมือดีขนาดไหนก็ยังคงเป็นแสงที่อยู่ใต้เงาของผู้เล่นแฟรนไชส์อย่าง “จิมมี บัตเลอร์” ที่เคยพา บูลส์ เข้าเพลย์ออฟได้ 5 ปีก่อนจะย้ายออก รวมถึง “เดริก โรส” ที่นำทีมไปสู้ในเพลย์ออฟถึง 7 ปี และตำนานอย่าง “ไมเคิล จอร์แดน” ที่คว้าแชมป์มาได้ถึง 6 สมัย

ดวงดาวไร้แสง

หลัง “แซค ลาวีน” เริ่มฉายแสงออกมาภายใต้เสื้อทีมของ “บูลล์ส” ทำให้เริ่มมีข่าวหนาหูถึงทีมยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจกับเจ้าตัว ที่ทำได้หลากหลายทั้งยิง ข้าม จ่าย จนสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ระดับท็อปของลีกและมันไม่ได้มาพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน เขายิ่งตอกย้ำแฟนๆ ชาว “ทิมเบอร์วูล์ฟส์” อีกครั้งด้วยการโชว์ผลงานระดับซุปเปอร์สตาร์ ขึ้นมาติดท็อป 10 ผู้เล่นทำแต้มสูงสุดของลีกได้ ด้วยฝีมือขนาดนี้แต่กลับไม่เคยถูกเลือกเป็น ออล-สตาร์ สักครั้งเดียว

ในฤดูกาล 2019-2020 เกมที่ถือว่าการันตีถึงความเป็นผู้นำในทีมได้ คือในเกมที่ชนะ “ชาร์ล็อต ฮอร์เน็ตส์” ด้วยจังหวะชี้เป็นชี้ตาย “ลาวีน” วิ่งออกมายิงสามคะแนนปิดเกมคว้าชัยไปได้ ซึ่งลูกยิงของเขานั้นถือว่ายากมาก แต่เขากลับทำมันดูเหมือนง่ายเลยทีเดียว ทำให้สำนักข่าวพูดถึง ฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวว่ามีโอกาสติด ออล-สตาร์ ได้เป็นหนแรกของการเล่นอาชีพได้แน่ๆ ในปีนี้ แม้ผลงานของทีมจะสวนทางกันก็ตาม

จนวันประกาศผู้เล่น ออล-สตาร์ มาถึง แฟนๆ บาสทีม “บูลล์ส” ต่างผิดหวังไม่ได้เชียร์ผู้เล่นที่รัก หลัง “แซค ลาวีน” ไม่มีชื่อติดอยู่ในเกม ออล-สตาร์ รวมถึงสองการ์ดที่ผิดหวังไปตามๆ กันอย่าง “แบรดลีย์ บีล” และ “เดวิน บุคเกอร์ “(โดนเรียกติดทีมหลังจากมีผู้เล่นบาดเจ็บ) เป็นประเด็นใหญ่ให้แฟนบาสทั่วโลกได้ถกเถียงกันถึงทำไมไม่มีชื่อ “ลาวีน” เจ้าของแชมป์ สแลมดังค์ สองปีซ้อน ส่วนใหญ่มักจะชี้ไปในทางเดียวกันในเรื่องของผลงานในทีมของเจ้าตัวที่ยังไม่สามารถพาทีมไปสู่เป้าหมายได้หลังย้ายมาร่วมทีมกับ บูลส์ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาถูกบดบังด้วยรัศมีความพ่ายแพ้ของทีม แม้ฝีมือจะเปรี้ยงขนาดไหนก็ตาม

- แสงสุดท้าย


“ลาวีน” ในวัย 25 ปี ที่ต้องเดินหน้าต่อไป กับเส้นทางใหม่ที่เขาต้องกำหนดและสร้างมันขึ้นมาเองกับทีม “ชิคาโก บูลล์ส” หลายต่อหลายครั้งที่ไม่มีใครเห็นถึงความสามารถที่เจ้าตัวทำได้ แม้ในซีซันนี้จะถูกตัดจบไปก่อนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทางทีมก็มีแนวทางเป็นไปที่ดีขึ้น จบอันดับที่ 11 ของฝั่งตะวันออก ผลงานเจ้าตัวเล่นไป 60 เกม ทำแต้มเฉลี่ย 25.5 แต้ม อยู่อันดับที่ 11 ของผู้เล่นที่ทำแต้มเฉลี่ยสูงสุดของลีก

กระทั่งเดินทางมาถึงฤดูกาลปัจจุบัน ซึ่งแข่งมาแล้ว 19 เกม “ชิคาโก บูลล์ส” มีสถิติ ชนะ 8 แพ้ 11 อันดับที่ 9 ของฝั่งตะวันออก แม้จะเก็บชัยชนะได้ยาก แต่ก็เริ่มปรับตัวกันภายในทีมได้มากขึ้นและผู้นำอย่าง “ลาวีน” ที่ฟอร์มยังคงร้อนตลอดเวลากลายเป็นผู้ทำแต้มหลักของทีมและเคยขึ้นไปแตะผู้เล่นที่ทำแต้มสูงสุดอันดับที่ 4 ของลีกได้ ซึ่งผู้เล่นที่อยู่ในท็อป 10 นั้นเป็นผู้เล่นระดับ ออล-สตาร์ มีเพียง “ลาวีน” ที่เป็นดาวไร้แสง รอวันที่เจิดจรัส

การเดินทางที่พลิกชีวิตจากเด็กหนุ่มม้านั่งสำรองในรั้วทีมมหาวิทยาลัยที่ก้าวขึ้นมาเป็นแสงแห่งความหวังของ “ชิคาโก บูลล์ส” ในยุคนี้ แม้ว่าแสงของเขายังไม่โดดเด่นเท่าไรนัก แต่เมื่ออยู่ในยามคับขันเขาเป็นดั่งไฟรถฟอร์จูนเนอร์ที่สาดส่องเข้ามาในยามมืดมิด อย่างไรก็ตามเขานั้นยังเหลืออีก 53 เกม ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในบทบาทผู้นำทีมเข้ารอบเพลย์ออฟ เพื่อให้แสงของเจ้าตัวนั้นฉายออกมาเป็นแสงของตัวเอง ไม่ใช่แสงที่หลบอยู่ที่ใต้เงาคนอื่นอีกต่อไป