ไทยรัฐออนไลน์
ประตูชัยของ มาริโอ เกิทเซ ที่ยิงให้กับ "อินทรีเหล็ก" ทีมชาติเยอรมนี ช่วงต่อเวลาพิเศษ นาทีที่ 113 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2014 ในศึก ฟุตบอลโลก 2014 รอบชิงชนะเลิศ ที่ประเทศบราซิล ทำให้ยอดทีมแห่งเมืองเบียร์คว้าแชมป์ เวิลด์ คัพ เป็นสมัยที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากปี 1954, ปี 1974 และ ปี 1990
ขณะที่ "ฟ้าขาว" ทีมชาติอาร์เจนตินา ยังคงหยุดอยู่ที่ 2 ครั้ง หลังเคยได้แชมป์มาแล้วในปี 1978 และปี 1986 มาแล้ว และแน่นอนหนึ่งในนักเตะของพวกเขาที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคคือ ลิโอเนล เมสซี บนวัย 20 ปลายๆ ก็อยู่ในทีมชุดรองแชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 ครั้งนี้ด้วย
การพลาดแชมป์แบบชุดช้ำในช่วงเวลาต่อพิเศษดังกล่าวนั่นทำให้เป็นความผิดหวังที่ฝังลึกอยู่ในใจเพื่อนร่วมทีม รวมถึง ลิโอเนล เมสซี ที่ถูกคาดหวังว่าเขานี้คือจะเป็นกำลังสำคัญที่พาทีมไปถึงฝั่งฝันได้อีกครั้ง ต่อจาก ดิเอโก มาราโดนา ที่เคยสำเร็จเมื่อปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก
ขยับมาที่ ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ลิโอเนล เมสซี ที่วัยแตะหลัก 30 ต้นๆ ก็ทำทัพ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา หยุดอยู่ที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น จากการปราชัยให้กับ ทีมชาติฝรั่งเศส 3-4 ก่อนที่ทีมคู่แข่งรายนี้จะกรุยทางฝ่าด่านเข้าไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จ นั่นทำให้ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา ต้องอกหักอีกครั้งและต้องรอแก้มือในอีก 4 ปีข้างหน้า
เมื่อมาถึง ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งทาง ลิโอเนล เมสซี ที่มีอายุ 35 ปีแล้ว ทำให้กูรูลูกหนังหลายคนรวมถึงแฟนบอลแสดงความคิดเห็นว่านี่คือโอกาสที่เหมาะที่สุดแล้วที่ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา จะคว้าแชมป์โลก ได้อีกครั้งเสียที
ทว่าการเปิดหัวนัดแรกด้วยการแพ้ ทีมชาติซาอุดีอาระเบีย แบบสุดช็อกโลก 1-2 ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มซี นัดแรก ก่อนที่สองนัดที่เหลือของรอบดังกล่าว จะเอาตัวรอดด้วยการชนะ ทีมชาติเม็กซิโก 2-0 และ ชนะ ทีมชาติโปแลนด์ 2-0 ทำให้พลิกสถานการณ์เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจากการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มซี และทาง ลิโอเนล เมสซี เริ่มที่จะร่ายฟอร์มมากขึ้นเรื่อยๆ
คู่แข่งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นั่นคือ ทีมชาติออสเตรเลีย ก่อนที่จะเอาชนะไปได้ 2-1 ซึ่งในรอบ 8 ทีมสุดท้ายดวลกับ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ จบ 120 นาที เสมอ 2-2 ก่อนที่ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา จะชนะจุดโทษ 4-3 ชนิดที่มีดราม่าเกิดขึ้นมากมายในเกมนี้
ทั้งสงครามประมาทระหว่างเกม การยั่วยุหรือการทำลายสมาธิของคู่แข่ง รวมถึงจังหวะเผชิญหน้าของ ลิโอเนล เมสซี กับ หลุยส์ ฟาน กัล และอีกครั้งกับ วูต เวกฮอร์สต์ รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมาย
รอบรองชนะเลิศ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา พบกับ ทีมชาติโครเอเชีย โดยที่คู่นี้ถือว่ามีดีกรีเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย ก่อนหน้านี้ โดยทีมแรกเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2014 ส่วนทีมหลังเป็นรองแชมป์ ฟุตบอลโลก ปี 2018 ซึ่งในแง่ของคุณภาพและประสบการณ์มีมากพอๆ กันทั้งคู่ แต่ก็เป็นทีมของ ลิโอเนล เมสซี ที่เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ที่ค่อนข้างขาดลอย 3-0
ชัยชนะดังกล่าวทำให้ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา เข้าไปลุ้นแชมป์ ฟุตบอลโลก เป็นสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ และเป็นการลุ้นคว้าแชมป์ลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสมัยแรกของ ลิโอเนล เมสซี
คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศของพวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ทีมชาติฝรั่งเศส ทีมแชมป์เก่าเมื่อปี 2018 ที่แม้จะไร้แข้งดังๆ ที่มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จครั้งก่อนอย่าง พอล ป็อกบา หรือ เอ็นโกโล ก็องเต แต่ขุมกำลังคนอื่นๆ ก็ทดแทนได้แบบไร้รอยต่อ
ก่อนจะเริ่มการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ บรรดาสื่อต่างๆ พร้อมใจกันตีข่าวเรื่องราวของ ลิโอเนล เมสซี โดยมีการเอาไปเปรียบเทียบกับ ดิเอโก มาราโดนา กันแทบจะไม่มีกระแสไปยังทีมแชมป์เก่า
เรื่องนี้ก็ถูกยอมรับโดย ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กุนซือ ทีมชาติฝรั่งเศส ที่บอกว่าเรารู้ว่าหลายคนเชียร์ให้ ลิโอเนล เมสซี คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้กับ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา แต่เราไม่สนใจและต้องการป้องกันแชมป์ให้ได้
หนึ่งในเกมหยุดโลกครั้งนี้ที่ ที่สนาม ลูเซล ไอคอนิก สเตเดียม ก็มาถึงในวันที่ 18 ธันวาคม เมื่อเปิดฉากเริ่มเกมเป็นทางฝั่งของ "ฟ้าขาว" ทีมชาติอาร์เจนตินา ที่ทำได้ดีกว่า และชิงจังหวะออกนำไปก่อน 2-0 ในครึ่งแรก นาที่ที่ 23 (จุดโทษ) และ นาทีที่ 36
ทว่าคู่แข่งอย่าง ทีมชาติฝรั่งเศส ตามตีเสมอเป็น 2-2 จาก คีเลียน เอ็มบัปเป นาทีที่ 80 (จุดโทษ) และนาทีที่ 81 ทำให้จบ 90 นาทีเสมอกัน 2-2 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ ออกไปอีก 30 นาที ซึ่งทาง ลิโอเนล เมสซี ก็ยิงให้ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 3-2
กระนั้นนาทีที่ 118 หรือก่อนหมดเวลาแค่ 2 นาที ทีมแชมป์เก่าตามตีเสมอเป็น 3-3 ได้จาก คีเลียน เอ็มบัปเป (จุดโทษ) และเป็นแฮตทริกของเขาในนัดนี้ ก่อนที่จะครบ 120 นาทีเสมอ 3-3 ทำให้ต้องตัดสินชี้ขาดหาผู้ชนะด้วยการยิงจุดโทษ
ทางฝั่งของ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา ยิง 3 คนไม่พลาด ส่วน ฝรั่งเศส ยิงไม่เข้าถึง 2 คน นั่นทำให้คนที่ของลูกทีม ลิโอเนล สกาโลนี อย่าง กอนซาโล มอนเทียล ยิงเข้าไปก็จะคว้าแชมป์ทันที และวินาทีที่ กอนซาโล มอนเทียล ยิงจุดโทษเข้าประตูไปในการดวลเป้าชี้ขาด ทำให้ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา เป็นฝ่ายเอาชนะจุดโทษ "ตราไก่" ทีมชาติฝรั่งเศส 4-2 ทำให้ไปถึงฝั่งฝันเสียที
ทำให้ "ฟ้าขาว" ทีมชาติอาร์เจนตินา สามารถคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก เป็นสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ต่อจาก ปี 1978 และ ปี 1986 ส่วนแข้งแดนน้ำหอมชวดเพิ่มแชมป์สมัยที่สาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มาสองหน เมื่อปี 1998 และปี 2018
ส่วน ลิโอเนล เมสซี เองก็สามารถคว้าถ้วยแชมป์ที่ 2 ในนาม "ฟ้าขาว" ทีมชาติอาร์เจนตินา ต่อจากแชมป์ โคปา อเมริกา ในปี 2021 ซึ่งการคว้าแชมป์รายการนี้เหมือนเป็นการปลดล็อกทั้งการเป็นแชมป์รายการที่ยังไม่เคยได้ ปลดล็อกการรอคอยมานานถึง 36 ปี และหลายคนเชื่อว่าชื่อของเขาก้าวขึ้นไปทาบ ดิเอโก มาราโดนา ตำนานแข้งร่วมชาติผู้ล่วงลับได้แล้วจากความสำเร็จครั้งนี้
อีกอย่างที่สำคัญที่มีแฟนบอลหลายคนบอกว่าการคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ของ ลิโอเนล เมสซี คือการปลดล็อกในแง่ของการข้ามผ่านก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่เหนือกว่า คริสเตียโน โรนัลโด อีกหนึ่งแข้งที่ว่ากันว่าดีสุดในยุคนี้ร่วมกับเขาได้แล้วนั่นเอง
ผลงาน ลิโอเนล เมสซี 5 ครั้ง ที่ผ่านมาในนามทีมชาติอาร์เจนตินา
ปี 2006 (แข่งที่เยอรมนี)
ลงเล่น 3 นัด
1 ประตู
1 แอสซิสต์
ปี 2010 (แข่งที่แอฟริกาใต้)
ลงเล่น 5 นัด
0 ประตู
1 แอสซิสต์
ปี 2014 (แข่งที่บราซิล)
ลงเล่น 7 นัด
4 ประตู
1 แอสซิสต์
ปี 2018 (แข่งที่รัสเซีย)
ลงเล่น 4 นัด
1 ประตู
2 แอสซิสต์
ปี 2022 (กาตาร์)
ลงเล่น 7 นัด
7 ประตู
3 แอสซิสต์
สรุปผลงาน : ลงเล่น 26 นัด 13 ประตู 8 แอสซิสต์ เข้ารอบชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง, ได้แชมป์ฟุตบอลโลก 1 ครั้ง (ปี 2022)