หน้าแรกแกลเลอรี่

แด่...แชมป์โลกตราไก่

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

17 ก.ค. 2561 05:01 น.

ไม่พลิกโผครับสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดสุด ท้ายระหว่างฝรั่งเศส “ตราไก่” กับ “ตาหมากรุก” โครเอเชีย ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

เมื่อเลขที่ออกได้แก่ ฝรั่งเศส 4-โครเอเชีย 2 แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ตกเป็นของทีมตราไก่ฝรั่งเศส ดังที่ทุกคนคาดหมายไว้

แต่สิ่งที่ผิดคาดและดูเหมือนจะไม่มีกูรูคนไหนเลยคาดไว้ก็คือการทำประตูที่ออกมารวมกันถึง 6 ประตู นั่นแหละครับ

หักปากกากูรูไปอย่างยับเยิน เพราะส่วนมากมักทำนายว่าฝรั่งเศสชนะ 1-0 บ้าง 2-0 บ้าง หรือ 2-1 บ้าง

เอาเข้าจริงออกมาถึง 4-2 ประตู หรือเฉลี่ย 15 นาที มีการยิง 1 ประตู จะไม่ให้แฟนบอลทั่วโลกซี้ดปากได้ยังไงล่ะ

ฝรั่งเศสได้ประตูแรกในนาทีที่ 18 จากการซัดลูกโทษนอกเขตแบ็กของ อองตวน กรีซมันน์ โดนศีรษะ มาริโอ มานด์ซูคิช กองหน้าโครเอเชียที่ลงไปช่วยทีมรับเตรียมสกัดลูกฟรีคิก

กลับกลายเป็นมานด์ซูคิชสกัดเข้าประตูตัวเอง

และกลายเป็นนักเตะคนแรกของการแข่งฟุตบอลโลกนัดชิงแชมป์ที่ทำเข้าประตูตัวเอง เพราะตั้งแต่ ฟุตบอลโลกเตะกันมายังไม่เคยมีการทำเข้าประตูตัวเองเลยในแมตช์สุดท้าย

หลังจากเสียประตูแรกไปแล้ว โครเอเชียก็มาเอาคืนได้ใน 10 นาทีให้หลัง จากการซัลโวของอีวาน เปริซิช ใน น.28 เสมอกัน 1-1

แต่ต่อมาก็ต้องเสียจุดโทษในเขตโทษและ อองตวน กรีซมันน์ เป็นฝ่ายซัดเข้าใน น.38 อย่างงดงาม ฝรั่งเศสขึ้นนำ 2-1

ลูกโทษลูกนี้เองที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ มีการประท้วงและการบ่นระบายอย่างน้อยใจจากโครเอเชียว่าเป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ในวันนี้

เป็นลูกที่ตอนแรกผู้ตัดสิน เนสเตอร์ ปิตานา จากอาร์เจนตินา ก็เหมือนจะปล่อยให้ผ่านไป แต่ผู้เล่นฝรั่งเศสออกมาเรียกร้องว่าต้องให้ลูกโทษประกอบกับทีม VAR ส่งสัญญาณมาให้เนสเตอร์ตรวจสอบเพื่อความรอบคอบ

ผู้ตัดสินจากอาร์เจนตินาจึงตัดสินใจไปดูรีเพลย์

เพ่งแล้วเพ่งเล่า รวมทั้งพวกเราทางบ้านก็ได้ดูด้วย เห็นว่าลูกโดนมือเปริซิชชัดเจนมาก แม้จะโดยไม่ตั้งใจ

เนสเตอร์ตกลงใจเปลี่ยนคำตัดสินให้เป็นลูกโทษ และเมื่อกรีซมันน์ซัดได้ ฝรั่งเศสจึงขึ้นนำ 2-1 ณ บัดนั้น

สลัตโก ดาลิช กุนซืออารมณ์เย็นของตาหมากรุก ต้องกลายเป็นอารมณ์ร้อนไปชั่วขณะ กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ ESPN หลังการแข่งขันว่า

“ผมขอแสดงความยินดีกับฝรั่งเศส...แต่พวกเราก็เล่นกันได้ดีเหลือเกิน ถ้าไม่มีลูกโทษลูกนั้น ผมคิดว่าสถานการณ์จะไม่เป็นอย่างนี้”

“ผมอยากจะพูดอะไรสักประโยคหนึ่งสำหรับลูกโทษลูกนี้...นั่นก็คือ...คุณไม่ควรจะให้ลูกโทษแบบนี้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดสุดท้าย”

เพราะการถูกนำ 2-1 ทำให้เกมเปลี่ยนและเขาก็ต้องเปลี่ยนแผนเล่นทั้งหมด จนเป็นเหตุให้ฝรั่งเศสยิงได้อีก 2 ประตูจาก ป็อกบา ใน น.59 และ เอ็มบัปเป ใน น.65

ก็เป็นธรรมดาของการมองต่างมุม เพราะลูกแบบนี้อยู่ในดุลพินิจของผู้ตัดสินอยู่แล้ว แต่จากการดู VAR หลายๆหน “จ่าแฉ่ง” เห็นด้วยกับผู้ตัดสินว่าลูกนี้ต้องเป็นจุดโทษ ไม่มีทางพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้

มันโดนปลายมือเปริซิชอย่างชัดเจนมาก และมีผลไม่น้อยที่ทำให้ลูกฟุตบอลเปลี่ยนทิศทาง

แต่ก็เอาเถอะ “จ่าแฉ่ง” ยอมรับว่า โครเอเชีย เล่นได้ดีมาก และเป็นผู้แพ้ที่ประทับใจ...ส่วน ฝรั่งเศส วันนี้ก็เล่นได้สุดยอดสมราคาที่มาเป็นเต็ง 1 โค้งสุดท้าย

นักเตะฝรั่งเศสเล่นได้เยี่ยมทุกคน แต่ที่ต้องขอเอ่ยนามเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็น 3 ทหารเสือ “อองตวน กรีซมันน์-ปอล ป็อกบา และ คีเลียน เอ็มบัปเป” นั่นแล

โดยเฉพาะเอ็มบัปเปถือว่าแจ้งเกิดเต็มตัวในฐานะนักเตะอายุน้อยสุดอันดับ 2 รองจากเปเล่ ที่ทำประตูได้ในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศบอลโลก

เขาอายุ 19 ปี 207 วัน แก่กว่าเปเล่ ที่อายุ 17 ปี 249 วัน ที่ทำประตูได้ในนัดเล่นกับสวีเดนในปี 1958 ประมาณปีเศษๆเท่านั้นเอง

ยินดีด้วยสำหรับรางวัล “ดาวรุ่งยอดเยี่ยม” ของฟุตบอลโลก 2018 ที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันมอบให้แก่เจ้าหนู เอ็มบัปเป ในวันนี้

จริงๆแล้วก็ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่สมควรแก่การบันทึกไว้ โดยเฉพาะรางวัลยอดเยี่ยมต่างๆ ที่นักเตะอีกหลายคนได้รับ

แต่เนื้อที่ “จ่าแฉ่ง” มีจำกัด คงต้องฝากให้ตรวจสอบจากข่าวต่างๆ ที่คงลงอย่างละเอียด ทั้งในหน้า 1 และหน้ากีฬาของไทยรัฐเรา

ประกอบกับ “จ่าแฉ่ง” จะต้องรํ่าลาในวันนี้ ด้วย เพราะต้องคืนพื้นที่กลับสู่ภาวะปกติตั้งแต่พรุ่งนี้

เอาเป็นสรุปว่า ขอแสดงความยินดีกับฝรั่งเศสอีกครั้งที่ได้แชมป์ และขอปรบมือให้กับรัสเซีย เจ้าภาพ ที่จัดได้เยี่ยมมาก...และบอลโลกคราวนี้สนุกมาก เชื่อว่าจะอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลทั่วโลกไปอีกนานเท่านาน...บ๊ายบายนะครับ.

“จ่าแฉ่ง”