ไทยรัฐฉบับพิมพ์
อาหารอร่อยกินหมดจาน ไม่รู้ตัวฉันใด...ฟุตบอลอร่อย เอ้ย!สนุกก็ผ่านไปอย่างไม่ทัน ตั้งตัวฉันนั้น
เผลอแผล็บเดียวฟุตบอลโลก 2018 ที่เต็มไปด้วยความมันระดับ 5 ดาว ผสมผสานกับเหตุการณ์ดราม่ามาโดยตลอดก็ผ่านไป 15 วัน เตะครบ 8 กลุ่ม 48 คู่ ในรอบแรกเป็นที่เรียบร้อย
ได้ 16 ทีม เดนตายที่จะไปเตะกันต่อในรอบหน้า ซึ่งจะเป็นรอบน็อกเอาต์แบบใครดีก็อยู่ ใครบู่ก็ร่วง... ครบทุกทีม เมื่อเช้าตรู่ตี 3 วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง
สำหรับ 2 กลุ่มส่งท้าย เริ่มด้วยกลุ่ม H ตอน 3 ทุ่ม คู่แรก โคลอมเบีย เอาชนะ เซเนกัล ไปได้ 1-0 และ ญี่ปุ่น แพ้ โปแลนด์ ไป 0-1
มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่จะต้องบันทึกไว้ คือ การนำเอาใบเหลือง ใบแดง เข้ามาคิดด้วย
ในกรณี 2 ทีม ทำอะไรทุกอย่างได้เท่าๆกัน เพื่อชี้ขาดว่าทีมไหนจะได้เข้ารอบต่อ
เช่น ประตูได้เสียเท่ากัน, ประตูได้เท่ากัน
ถ้าเป็นสมัยก่อน เก๊าะต้องจับสลาก
แต่บอลโลกคราวนี้ ฟีฟ่าประกาศล่วงหน้า เพิ่มกติกาให้เอาใบเหลืองใบแดงมาดูด้วย ก่อนจับสลาก
เรียกกันสั้นๆง่ายๆว่า กติกา “แฟร์เพลย์” เพื่อเป็นการจูงใจให้ทีมต่างๆเล่นกันอย่าง “แฟร์ๆ” คือทำอะไรนอกกติกาให้มันน้อยลงว่างั้นเถอะ
ใครโดนใบเหลืองน้อยกว่าจะถูกหักแต้มน้อยกว่า และใครที่ถูกหักน้อยกว่า เก๊าะจะเป็นฝ่ายชนะได้เข้ารอบต่อไป
ปรากฏว่า ญี่ปุ่น กับ เซเนกัล ทำทุกอย่างเท่ากันเด๊ะ ตั้งแต่ 4 แต้มเท่ากัน ประตูได้เสีย 0 เท่ากัน ประตูยิงได้ก็ 4 ลูกเท่ากันอีก
จึงต้องใช้กติกา “แฟร์เพลย์” ที่ว่านี้และก็ปรากฏว่า ญี่ปุ่น โดนเหลืองไป 4 ใบเท่ากับ -4 แต้ม แต่ เซเนกัล เจอไป 6 ใบ เท่ากับ -6 แต้ม
ญี่ปุ่นจึงเป็นฝ่ายได้เข้ารอบเป็นที่สองตามหลัง โคลอมเบีย ที่ได้แต้มมากสุดของกลุ่มไปด้วยประการฉะนี้
ประสาคนเอเชียด้วยกัน “จ่าแฉ่ง” ขอแสดงความยินดีกับนักเตะซามูไร ที่นอกจากจะเป็น “ทีมเอเชีย” เพียงหนึ่งเดียวที่ได้เข้าสู่รอบ 16 ทีม ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้แล้ว
ยังเป็นทีมแรกที่เข้ารอบด้วยกฎกติกา “แฟร์เพลย์” ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกของฟุตบอลโลกอีกด้วย
สำหรับ 2 คู่หลังในกลุ่ม G ซึ่งเป็น 2 คู่สุดท้ายของรอบแรก คงไม่ต้องบันทึกอะไรมากเพราะแทบไม่มีอะไรตื่นเต้นและไม่มีอะไรเอ็กไซต์เกิดขึ้นเลย
เบลเยียม-อังกฤษ ได้เข้ารอบอยู่แล้วจัดตัวสำรองมาลงเป็นกระบิทั้งคู่ ก่อนที่ เบลเยียม จะชนะไป 1-0 ด้วยการซัลโวของ อัดนาน ยานาไซ ในนาทีที่ 51 ของครึ่งหลัง
ส่งผลให้ เบลเยียม ได้เป็นที่ 1 ของกลุ่มและอังกฤษเป็นที่ 2 ของกลุ่ม โดยมี ตูนิเซีย ซึ่งชนะ ปานามา 2-1 จบที่ 3 ส่วนปานามาก็จบบ๊วยไปตามระเบียบ
ทำให้การประกบคู่ต่อไปของ 4 ทีมที่ผ่านจาก 2 กลุ่มนี้ออกมาเป็น เบลเยียม เจอ ญี่ปุ่น และ อังกฤษ ไปเจอ โคลอมเบีย
ได้ครบถ้วนทั้ง 16 ทีม 8 คู่ ตามเป้าหมาย
ทีนี้เราก็มาทบทวนความจำกันอีกทีว่า 16 ทีม 8 คู่ ในรอบน็อกเอาต์จะมีไผเจอไผกันบ้าง
วันแรกเสาร์ที่ 30 มิถุนายน คู่แรกเวลา 3 ทุ่ม ฝรั่งเศส เจอ อาร์เจนตินา คู่สองตี 1 อุรุกวัย เจอโปรตุเกส
วันสอง อาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม คู่แรกเวลา3ทุ่ม กระทิงดุ สเปน เจอเจ้าภาพหมีขาว รัสเซีย และคู่สองตี 1 ตาหมากรุก โครเอเชีย เจอกับโคนม เดนมาร์ก
วันสาม จันทร์ที่ 2 ก.ค. คู่ 3 ทุ่ม บราซิลเจอ เม็กซิโก และคู่สองตี 1 เบลเยียม เจอซามูไร ญี่ปุ่น
วันสี่หรือวันสุดท้ายของรอบนี้จะเตะในวันอังคารที่ 3 ก.ค. คู่แรก 3 ทุ่ม ไวกิ้ง สวีเดนเจอนักเตะนาฬิกา สวิตเซอร์แลนด์ ส่วนคู่ดึกตี 1 โคลอมเบีย จะเจอ “สิงโตคำราม” อังกฤษ
ต้องบอกว่ามันทุกคู่ และพลาดไม่ได้เลยสักคู่เดียว
ก็อย่างที่ เมสซี เขาเคยสัมภาษณ์ไว้แหละครับว่า รอบแรกเป็นเพียงแค่ “โหมโรง” เท่านั้น “ฟุตบอลโลก” ที่แท้จริงจะเริ่มตั้งแต่รอบน็อกเอาต์เป็นต้นไป
ขอเชิญท่านผู้อ่านติดตาม “ฟุตบอลโลกรัสเซีย” ที่จะเริ่มเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกที่แท้จริงได้ ณ บัดนี้.
“จ่าแฉ่ง”