ไทยรัฐฉบับพิมพ์
การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งมีรัสเซียเป็นประเทศเจ้าภาพ จัดให้มีการแข่งขันระหว่างวันที่ 14 มิ.ย.–15 ก.ค.2561 มีบางข้อน่าสังเกต นอกจากกระแสติดตามการแข่งขันในเมืองไทยดูไม่ค่อยคึกคักฟู่ฟ่า ในหลายๆประเทศก็มีบรรยากาศแทบไม่แตกต่างจากไทย
เมื่อเทียบกับศึกดวลแข้งโลกครั้งก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปี 2006 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ปี 2010 ที่แอฟริกาใต้ หรือแม้แต่ครั้งที่แล้ว เมื่อปี 2014 ซึ่งจัดที่บราซิล นอกจากแต่ละครั้งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ยังมีเม็ดเงินสะพัดกว่ากันหลายเท่า
ประเด็นนี้ในมุมมองของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง บีบีซีไทย ตั้งข้อสังเกตเอาไว้น่าสนใจว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย
ประการแรก เป็นเพราะรายได้จากสปอนเซอร์ หรือผู้สนับสนุนของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ลดลงบวกกับการถ่ายทอดสดการแข่งขันจากประเทศรัสเซียต้องผ่านปัญหาหลายอย่าง ทั้ง ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบในการถ่ายทอดสด รวมทั้ง ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดที่แพงมหาศาล
โดยเฉพาะกรณี ค่าลิขสิทธิ์ที่มีราคานับพันล้านบาท ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ หรือแม้แต่โครงข่าย “โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย” หรือทีวีพูล ลังเลที่จะซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดซึ่งแพงมาก จึงไม่กล้าเข้าร่วมประมูล เพราะเกรงว่าจะขาดทุน
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทีวีพูลเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว จากการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เมื่อปี 2016 ซึ่งจัดที่นครริโอ เด จาเนโร ประเทศบราซิล ในราคาประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท ซึ่งครั้งนั้นสถานีโทรทัศน์ที่เป็นสมาชิกของทีวีพูลแต่ละช่องต้องประสบปัญหาขาดทุนกว่า 30-40 ล้านบาท
กระทั่งมีเสียงเรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้กันมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ผนึกกำลังกับองค์กรเอกชน 9 ราย ร่วมกันลงขันซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย 64 นัด กับทางฟีฟ่า ผ่านบริษัท อินฟรอนท์ สปอร์ต แอนด์ มีเดีย ผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ ยังมีประเด็น ความสามารถในการจับจ่ายของคนไทย พ.ศ.นี้ ที่ยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก ทำให้กระแสความตื่นตัวในฟุตบอลโลก 2018 โดยรวมจึงดูไม่คึกคักเท่าที่ควร
มุมมองดังกล่าวสอดรับกับความเห็นของแหล่งข่าวรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รอบรู้ในแวดวงพนันฟุตบอล ให้ความเห็นว่า มีหลายเหตุปัจจัยที่น่าจะส่งผลให้หลายแมตช์ฟุตบอลโลกปีนี้ออกมาไร้ชีวิตชีวา
“อย่างแรกเลย สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ส่งผลต่อการเล่นพนันบอล เพราะเมื่อคนไม่มีเงินในกระเป๋า จะเอาอะไรไปแทงบอล ดูง่ายๆขนาดเสื้อเชียร์ทีมฟุตบอลโปรดในดวงใจ ก็ยังแทบไม่มีใครทำออกมาขายไม่เหมือนกับตอนแข่งบอลโลกครั้งก่อนๆ ที่เห็นคนใส่เสื้อเชียร์กันเกลื่อน”
“ตัวชี้วัดถัดมาสังเกตได้จากการจัดอีเวนต์ตามลานเบียร์เชียร์บอลต่างๆก็สุดจะเงียบเหงาวังเวง เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่เคยมีในศึกฟุตบอลโลกครั้งก่อนๆ อย่างมากก็แค่มีคนไปนั่งกิน นั่งดื่ม และนั่งลุ้นพอให้เห็นกันบ้างตามร้านข้าวต้ม น่าจะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่เกิดสภาพเช่นนี้”
แหล่งข่าวมองว่า การเล่นที่ผิดฟอร์มของดาวดัง ดาวเด่น หรือทีมเต็งต่างๆ ที่พลิกล็อก ก็ล้วนมีส่วนสำคัญไม่น้อย ที่ทำให้แฟนบอลหลายคนรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากติดตาม หรือสับสนในการแทงพนัน
เขายกตัวอย่างกรณีของ “ลิโอเนล เมสซี” คีย์แมนคนสำคัญของทีมฟ้าขาว อาร์เจนตินา ซึ่งในเกมแรกทำผลงานได้ไม่ดีนัก พาทีมเก็บได้เพียงแต้มเดียว จากการเสมอกับทีมน้องใหม่อย่างไอซ์แลนด์ 1-1
หรือจะเป็นกรณีของ “เนย์มาร์” ดาวเตะค่าตัวแพงของบราซิล ซึ่งหลายคนคาดหวังว่า จะพาทีมคว้าแชมป์โลกมาครองได้อีกสมัย แต่ในศึกบอลโลกคราวนี้ ก็ไม่มีฟอร์มอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็นมากนัก นอกจากวิ่งไปล้มเรียกฟาวล์ กับเป็นกระสอบทรายให้ขุนพลจากสวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกาไล่เตะเล่น
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวบอกว่า ตามประสาแบบไทยๆ เรื่องพนันขันต่อเป็นอะไรที่ยากจะหักห้ามกันได้ แม้แต่หมากัดกันก็ยังพนันผลเอาแพ้-ชนะ
เขาว่า ในวงการพนันขันต่อฟุตบอล ถึงแม้จะไม่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก ก็มีการเล่นพนันฟุตบอลลีกกันเป็นปกติอยู่แล้ว แถมยังมีให้แทงได้ตลอดเวลา มีทั้งระดับที่แทงกับโต๊ะรับแทงเล็กๆ เหมือนการแทงหวยใต้ดิน ซึ่งมีอยู่ทุกหัวระแหง ไม่ว่าย่านรังสิต วงเวียนใหญ่ สะพานควาย หรือโชคชัย 4 ไปจนกระทั่งแทงกับเว็บไซต์ออนไลน์ระดับโลก ที่เจ้ามือเป็นคนเปิดราคา และเปิดให้แทงได้ 24 ชั่วโมง
“พวกที่เล่นกันเป็นอาชีพ สมัยนี้จะแทงบอลต้องมีเงินในบัญชีก่อน แล้วไปเปิดบัญชีกับผู้รับแทง ใช้วิธีแทงผ่านโทรศัพท์มือถือ มันถึงจับได้ยาก ยิ่งถ้าแทงกับเว็บไซต์ที่อยู่ต่างประเทศ ยิ่งทำอะไรกับเค้าได้ยาก”
แหล่งข่าวบอกว่า สำหรับนักพนันบอลเมืองไทย รูปแบบการแทง ที่ได้รับความนิยมสูงสุด มักเป็นการเล่นพนันแบบที่เรียกว่า “ครึ่งลูก” “ครึ่งควบลูก” และ “ลูกควบ ลูกครึ่ง”
เขายกตัวอย่าง กรณีคู่อุรุกวัยกับซาอุดีอาระเบีย ถ้าผู้แทงเลือกเล่นทีมอุรุกวัยเป็นต่อทีมซาอุฯ “ครึ่งลูก” ใน 90 นาทีของการแข่งขัน ทีมอุรุกวัยจะต้องชนะทีมซาอุฯด้วยแต้ม 1-0 ขึ้นไป จึงจะได้กินเงินเดิมพัน
แต่ถ้าผลออกมาเสมอกันเป็น 1-1 หรือ 0-0 ฝ่ายที่เล่นรองทีมซาอุฯไว้ จะเป็นฝ่ายได้เงินเดิมพันแทน แต่ไม่ว่าฝ่ายใดแพ้หรือชนะ จะต้องถูกหักเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าน้ำ เช่น แทงเดิมพัน 1,000 บาท จะต้องถูกหักค่าน้ำจากเจ้ามือ หรือเจ้าของโต๊ะพนันบอลไป 200 บาท เหลือรับสุทธิแค่ 800 บาท เป็นต้น
กรณีเล่นแบบ “ครึ่งควบลูก” ทีมอุรุกวัยจะต้องชนะทีมซาอุฯ 2-0 ขึ้นไป ฝ่ายที่เลือกต่อทีมอุรุกวัยจึงจะได้รับเงิน 800 บาท (หลังจากถูกหักค่าน้ำแล้ว) แต่ถ้าทีมอุรุกวัยชนะทีมซาอุฯแค่ 1-0 จะได้รับเงินเดิมพันเพียงครึ่งเดียว คือ 500 บาท และยังต้องถูกหักค่าน้ำด้วย 100 บาท เป็นต้น
แหล่งข่าวบอกว่า กรณีเล่นแบบ “ครึ่งควบลูก” มักเกิดขึ้นในกรณีที่คนส่วนใหญ่เห็นว่า ทีมหนึ่งเป็นต่ออีกทีมหนึ่งค่อนข้างมาก เช่น สเปนเป็นต่ออิหร่าน เบลเยียมเป็นต่อปานามา หรือว่าบราซิลเป็นต่อคอสตาริกา ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ยังขึ้นกับว่าทางโต๊ะพนันบอลจะเปิดรับให้มีการแทงแบบนี้ด้วยหรือไม่
ส่วนอีกรูปแบบที่เซียนพนันบอลเมืองไทยมักนิยมเล่นกัน คือแบบ “ลูกควบ ลูกครึ่ง” ซึ่งกรณีนี้ทีมอุรุกวัยจะต้องชนะทีมซาอุฯด้วยแต้ม 2-0 ขึ้นไป ฝ่ายที่ต่อข้างทีมอุรุกวัยจึงจะได้เงินเดิมพัน 1,000 บาท (ยังไม่หักค่าน้ำให้เจ้าของโต๊ะ) แต่ถ้าผลออกมาว่า อุรุกวัยชนะซาอุฯ แค่ 1-0 ผู้ที่เล่นต่อข้างอุรุกวัยไว้จะต้องเสียเงินให้แก่ผู้ที่เล่นข้างซาอุฯ 1,000 บาท ซึ่งฝ่ายที่ชนะเดิมพันจะต้องถูกเจ้ามือหักค่าน้ำ 200 บาท เป็นต้น
เห็นได้ว่า ไม่ว่าฝ่ายใดแพ้หรือชนะ ถึงอย่างไรผู้เป็นเจ้ามือ หรือโต๊ะพนันบอล ก็มีแต่รวยกับรวยจากผลต่างของคะแนนการแข่งขัน และ “ค่าน้ำ” ที่ผู้เล่นพนันต้องจ่ายให้แก่เจ้ามือในทุกกรณี
ทั้งหมดที่นำเสนอมา นอกจากไม่ประสงค์จะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก หรือส่งเสริมให้มีการเล่นพนันบอล ซึ่งเป็นคนละอย่างกับการส่งไปรษณียบัตรทายผลเพื่อชิงเงินรางวัล ยังต้องการชี้ให้เห็นว่า ถึงอย่างไรฝ่ายผู้เล่นย่อมตกเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้ามือ หรือโต๊ะพนันบอล...วันยังค่ำ.