ไทยรัฐฉบับพิมพ์
เหลืออีกไม่กี่อึดใจ มหกรรมฟุตบอลโลก 2018 ที่แดนหมีขาว รัสเซีย ก็จะรูดม่านเปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว ท่ามกลางการจับตามองของแฟนบอลหลายพันล้านคนทั่วโลกว่าเจ้าภาพจะจัดการแข่งขันได้ยิ่งใหญ่อลังการแค่ไหน
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ในส่วนของพิธีเปิดเวิลด์คัพ 2018 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ “ฟีฟ่า” ได้เลือก ร็อบบี้ วิลเลียมส์ นักร้องดังชาวอังกฤษ มาร้องโชว์ ร่วมด้วยไอดา การิฟูลลินา นักร้องโซปราโนสาวชาวรัสเซีย โดยการแสดงโชว์ดังกล่าวจะเริ่มก่อนคิกออฟเกมนัดเปิดสนามระหว่าง รัสเซียกับซาอุดีอาระเบีย ประมาณครึ่งชั่วโมง
ที่ผ่านมา พิธีเปิดฟุตบอลโลกแต่ละครั้งมักจะมีศิลปินชื่อดังมาร่วมแสดงโชว์อย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ 2014 ที่บราซิล มีพิตต์บูลล์ และเจนนิเฟอร์ โลเปซ, 2010 ที่แอฟริกาใต้ มีอาร์ เคลลี, 2006 ที่เยอรมนี มีแฮร์เบิร์ต กรอเนเมเยอร์ เป็นต้น
ส่วนคำถามยอดฮิตที่ผมเจอในตอนนี้ คงหนีไม่พ้น คำถามที่ว่าใครจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งนาทีนี้มีชื่อผุดเข้ามาในสมองอยู่ 3 ทีม นั่นก็คือ เยอรมนี, บราซิล และอาร์เจนตินา
“อินทรีเหล็ก” เยอรมนี แชมป์เก่า ถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ของฟุตบอลโลกทุกครั้ง เพราะเยอรมนีก็เป็นเยอรมนีวันยังค่ำ จุดแข็งของทีมอินทรีเหล็กก็คือ ความแข็งแกร่ง เล่นบอลอย่างมีวินัย และทีมเวิร์ก เชื่อว่าเยอรมนีน่าจะเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเป็นอย่างน้อย
ขณะที่ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา จะคว้าแชมป์โลกครั้งนี้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับลิโอเนล เมสซี ยอดนักเตะหมายเลข 1 ของโลก เพราะนอกจากต้อง แบกทีมอยู่คนเดียวแล้ว เมสซียังต้องแบกความหวังของประชาชนชาวอาร์เจนไตน์ทั้งประเทศอีกด้วย
4 ปีที่แล้ว เมสซีและพลพรรค “ฟ้าขาว” ใกล้เคียงที่สุดกับการเป็นแชมป์โลก แต่สุดท้ายได้แค่รองแชมป์ เพราะพลาดท่าแพ้ให้กับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี อย่างสุดช้ำในช่วงทดเจ็บ 0-1 ในนัดชิงฟุตบอลโลก 2014
ในบอลโลกครั้งนี้ เมสซีอายุปาเข้าไป 30 ปีแล้ว เข้าสู่ช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง เขาคว้าแชมป์ร่วมกับบาร์เซโลนามาแล้วครบทุกรายการ ขาดเพียงแชมป์ฟุตบอลโลกเท่านั้นที่เป็นรายการใหญ่เพียงถ้วยเดียวที่เขายังไม่เคยสัมผัส และถ้าเขาทำไม่ได้ในครั้งนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะนี่อาจเป็นบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขาก็ได้
ส่วนบราซิลเป็นทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์โลกหนนี้มากที่สุดตามสายตาผม เพราะถึงเวลาแล้วที่พลพรรค “แซมบ้า” จะกลับมาผงาด หลังห่างหายจากการเป็นแชมป์โลกมาตั้งแต่ปี 2002 นับจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 16 ปีแล้ว
ในศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ บราซิลต้องจบเส้นทางแค่รอบรองชนะเลิศอย่างน่าสุดช้ำ หลังจากเนย์มาร์ กองหน้าซุปเปอร์สตาร์ของทีม โดนกองหลังโคลอมเบียเล่นงานจนบาดเจ็บในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้เจ้าตัวลงสนามไม่ได้อีกตลอดทัวร์นาเมนต์ ก่อนบราซิลจะโดน “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ถล่มพ่ายเละเทะแบบช็อกโลก 7-1 ในรอบรองชนะเลิศ
เท่านั้นไม่พอ ทีมแซมบ้ายังมาแพ้ให้กับฮอลแลนด์ 0-3 ในเกมชิงที่ 3 ทำให้จบทัวร์นาเมนต์ในบ้านตัวเองด้วยอันดับ 4 ทำเอาแฟนบอลเมืองกาแฟผิดหวังไปตามๆกัน
แต่ตอนนี้ ต้องบอกว่า บราซิลกลับมาเป็น “บราซิล” ทีมเดิมที่เล่นกันได้อย่างสุดยอด ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ“ตีเต้” กุนซือ วัย 57 ปี ที่ปลุกทีมแซมบ้าให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากเข้ามาคุมทีมชาติบราซิลต่อจาก คาร์ลอส ดุงกา ในปี 2016 ตีเต้ก็สามารถปรับเปลี่ยนบราซิล จากที่เล่นน่าเบื่อ เน้นเกมรับเป็นหลักในยุคของดุงกา กลับมาเป็นบราซิลที่เล่นกันรวดเร็วและสวยงามตามสไตล์แซมบ้า
ซุปเปอร์สตาร์ประจำทีมแซมบ้าชุดนี้ยังคงเป็นเนย์มาร์ กองหน้าจากปารีส แซงต์แชร์กแมง ตอนนี้เขายิงให้บราซิลไปแล้ว 55 ประตู จากการเล่น 85 นัด รั้งอันดับ 3 ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของบราซิล และเนย์มาร์ต้องการอีก 7 ประตู ก็จะทาบสถิติของ “โล้นทองคำ” โรนัลโด
นอกจากเนย์มาร์แล้ว ขุมกำลังของทีมแซมบ้าชุดนี้ยังถือว่าเจ๋งสุดๆ มีทั้ง วิลเลียน, กาเบรียล เชซุส, ดักลาส คอสตา และโรแบร์โต ฟีร์มิโน ทำให้แนวรุกของบราซิลเฉียบขาดและ อันตรายมาก
ยิ่งไปกว่านั้น บราซิลยังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในการอุ่นเครื่องก่อนบอลโลก ด้วยการคว้าชัยชนะรวดแบบ 100% ทั้งบุกไปเด็ดปีก “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี คาบ้าน 1-0, เอาชนะ โครเอเชีย 2-0 และถล่มออสเตรียกระจุย 3-0
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่บ่อนพนันทุกสำนักจะยกให้บราซิล เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย.
หมวดแซม