หน้าแรกแกลเลอรี่

รายงานพิเศษ เจาะลึกปรัชญาสร้างทีม 'ช้างศึก' ของ 'ราเยวัช'

ไทยรัฐออนไลน์

6 พ.ค. 2560 09:00 น.

หลังงานแถลงข่าวเปิดตัวหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่ มิโลวาน ราเยวัช อย่างเป็นทางการในวันนี้ FA Thailand เปิดใจพูดคุยกับกุนซือชาวเซิร์บถึง 6 เรื่องสำคัญ นับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเสนอตัวรับงานหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย จนถึงเป้าหมาย และสิ่งที่ต้องทำนับตั้งแต่วันนี้ เพราะสาเหตุใด “ช้างศึก” จึงเป็นตัวเลือกที่เขาอยากร่วมงาน? ปรัชญาการทำทีม - แท็กติกของเขาเป็นอย่างไร? วิธีที่จะพัฒนาทีมชาติไทยให้ก้าวไปข้างหน้าเป็นอย่างไร? ติดตามได้ที่นี่...

ทำไมต้องช้างศึก?

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้ยินว่าทีมชาติไทยกำลังมองหาผู้จัดการทีมคนใหม่ ผมก็สนใจทันที ความจริงก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดจะเข้ามารับงานในเมืองไทยมาบ้างแล้ว...ฟุตบอลไทยกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นไปเป็นทีมระดับชั้นนำของทวีปได้ เพราะประเทศไทยมีผู้เล่นพรสวรรค์มากมาย มันจึงท้าทายความสามารถของผมมากๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานในเอเชียมาก่อน ดังนั้นผมรู้จักประเทศไทยค่อนข้างดี การทำงานกับทีมชาติไทยมันเป็นเรื่องที่น่าสนุก ผมจะได้ใช้ความคิด ได้มีเป้าหมาย การได้คุมทีมชาติไทยคือความสำเร็จและเกียรติยศที่น่าภูมิใจ มันเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก คุณมีงานต้องทำมากมาย คุณต้องนำพาความสุขมาให้คนในชาติให้จงได้ ไม่ว่าผมจะไปคุมประเทศไหน ผมจะรู้สึกเสมอว่า ผมเป็นคนชาติเดียวกับพวกเขา และมีความรู้สึกร่วมกับทุกคน ผมค่อนข้างมองในแง่บวกและมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นไปได้ว่าผมมีโอกาสจะได้รับงานนี้จากประสบการณ์ และความสำเร็จที่ผ่านมาของผม พาทีมชาติกานาเข้าชิงแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ และเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 เคยได้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกา ผมมีความคิดว่าตัวเองพร้อม และอยากจะพาอีกประเทศหนึ่งก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จอีกระดับหนึ่งแบบที่ผมเคยทำได้

ปรัชญาการทำทีม?

ผมอยากเปลี่ยนผลการแข่งขันให้ออกมาดีขึ้น เราจะเน้นผลมากขึ้น ผมคิดว่าที่ผ่านมา ทีมชาติไทยเสียประตูมากเกินไป เพราะโดยปกติแล้ว ทีมของผมจะเสียประตูได้ยากมากๆ อย่างสมัยตอนผมคุมกานา ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010 พวกเราเข้ารอบหลังผ่านไป 4 เกม พร้อมทำสถิติไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียว ผมไม่ได้หมายความว่า ผมชอบให้ทีมเล่นเกมรับหรือเน้นอุดนะ แต่เราต้องหาวิธีที่จะหยุดไม่ให้คู่แข่งทำประตูใส่เราให้ได้ ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของทุกคนในทีม เราจะต้องบุกด้วยกัน และรับด้วยกันทั้งทีมใช่ไหมล่ะ!...ผมมองเรื่องผลการแข่งขันเป็นอันดับแรก แน่นอนว่ามันยอดเยี่ยมที่หากเราเล่นได้สวยงามด้วย แต่ผลแพ้ชนะคือสิ่งสำคัญที่สุด ผมพยายามจะชนะในทุกเกม และจะพยายามปลูกฝังจิตวิญญาณของผู้ชนะให้กับลูกทีมทุกคน ความจริงผมเองก็พยายามที่จะทำทีมที่เล่นได้ตื่นตาตื่นใจด้วย แต่มันจะเป็นสิ่งที่ตามมาจากการฝึกซ้อม สิ่งสำคัญคือการสร้างบรรยากาศที่ดีในห้องแต่งตัว นี่คือกุญแจสำคัญที่จะค่อยพัฒนาทีมให้ไปเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม และมีผลการแข่งขันที่ดีได้ ผมอยากสร้างบรรยากาศแบบครอบครัวให้เกิดขึ้นในทีมของเรา ระหว่างผู้เล่นและทีมงานสต๊าฟฟ์ ทำงานด้วยกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน นักเตะทุกคนและทีมงานทุกคนต้องรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ แน่นอน เรารู้ว่าทุกอย่างไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันเดียว เราต้องใช้เวลา ใช้ความพยายาม และความร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย เราได้ไอเดีย ได้แบ่งปันความคิด แชร์ปรัชญาของกันและกัน ใช้ความรู้และประสบการณ์ในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ในไม่กี่สัปดาห์ เราต้องการทีมที่เราเคารพซึ่งกันและกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีความเข้าใจ และแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้มันก็เพื่อพาทีมชาติไทยก้าวไปข้างหน้า ไปเป็นทีมชั้นนำของเอเชียให้ได้

แท็กติกที่เหมาะสม?

ทีมที่ดีควรจะเล่นได้ทุกแท็กติกในทุกๆ เกม และทุกๆ แผนการเล่น แต่ละเกมเราสามารถเปลี่ยนแท็กติก และแผนการเล่นได้หลายครั้ง ผมมักเลือกทีมหรือแผนตามความสามารถหรือจุดเด่นของนักเตะที่ผมมี และที่สำคัญคือ แผนไหนก็ได้ที่ทำให้ทีมชาติไทยได้รับชัยชนะ ...สำหรับผม ผมว่ามันสำคัญมากที่นักเตะแต่ละคนควรจะเล่นได้หลายตำแหน่ง ถ้าเป็นตัวรุกต้องเล่นได้ทั้งซ้ายและขวา และต้องเล่นทั้งเกมรุกและเกมรับได้ในคนเดียวกัน ที่ผ่านมาทีมชาติไทยประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้โค้ชคนเก่า (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) ในแง่ของการสร้างทีมและมีการดึงผู้เล่นใหม่ๆ ขึ้นมา แต่เราจำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงในอีกหลายอย่าง งานแรกที่ผมต้องเร่งพัฒนาหลังจากนี้คือ เรื่องแท็กติก เพราะนี่คือจุดที่ทีมชาติไทยยังขาดอยู่ เพราะหลังจากที่ได้ศึกษาทีมชาติไทย พวกเราจำเป็นต้องพัฒนาด้านแท็กติกในสนาม และจำเป็นจะต้องเล่นเพื่อผลการแข่งขันที่ดีในทุกๆ เกมมากกว่านี้ นี่คือเรื่องเร่งด่วนที่เราจำเป็นต้องแก้ไขตั้งแต่ต้นเลย เช่นเดียวกับผลการแข่งขันที่จำเป็นจะต้องดีกว่านี้ และอาจจะบอกว่ามันสำคัญที่สุดก็ได้

นักเตะเด่นในยุคราเยวัช?

ฟุตบอลเป็นกีฬาประเภททีม ดังนั้นมันจึงสำคัญมากๆ ที่เราต้องทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา นั่นคือแนวทางเดียวกันกับที่เราใช้กับทีมชาติกานา และประสบความสำเร็จมาก่อน...ประเทศไทยมีกลุ่มผู้เล่นที่มีความสามารถและมีอนาคตที่สดใส เราศึกษาข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะมาพูด หรือเอ่ยชื่นชมคนใดคนหนึ่ง เรารู้จักพวกเขา เรามีสถิติ มีข้อมูลในมือ อย่างผู้รักษาประตูอย่าง ตอง (กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์) แบ็กซ้ายอย่าง อุ้ม (ธีราทร บุญมาทัน) มีกองกลางอย่าง ตั้ม (ธนบูรณ์ เกษารัตน์) และ เจ (ชนาธิป สรงกระสินธ์) รวมถึงกองหน้าอย่าง มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา)

โอกาสของแข้งหน้าใหม่

ผมสัญญาว่าจะมีนักเตะหน้าใหม่ๆ เข้ามาติดทีมของผมแน่ๆ... ผมพยายามเลือกคนที่ทำผลงานได้ดี มีความตั้งใจ มุ่งมั่นที่อยากลงเล่นให้ทีมชาติ ผมยังสนใจในเรื่องของความเข้าใจเกมของนักเตะ สภาพจิตใจ สภาพร่างกาย สภาพความฟิต วินัย เทคนิค และสิ่งต่างๆ ในตัวของพวกเขาด้วย นักเตะที่ผมชื่นชอบคือพวกที่มีใจสู้ มีความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และพวกเขาควรจะเล่นได้ทั้งเกมรุกและเกมรับ ที่ผ่านมาผมชอบที่จะให้โอกาสเด็กๆ เสมอ มันสำคัญมากที่จะให้โอกาสเหล่าดาวรุ่งได้พิสูจน์ตัวเอง ผมพร้อมที่จะสนับสนุนพวกเขา สอนพวกเขา และพยายามผลักดันให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพที่ดี ทั้งในและนอกสนาม มีลูกศิษย์ของผมหลายคนที่ได้ไปเล่นในยุโรป มีค่าตัวแพงมหาศาล ซึ่งการเป็นโค้ชเราต้องสอนพวกเขาว่า ควรจะทำอะไร ประพฤติตัวอย่างไร อะไรคือสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องเรียนรู้ ทุกอย่างที่ผมเตรียมให้พวกเขาตอนซ้อม คือ เรื่องที่เขาต้องเจอกันในสนามจริง มันจึงสำคัญมากๆ ซึ่งเมื่อผมมองกลับไป ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพวกเขาขึ้นมา อย่างเช่น ดูราน ทาดิซ ของเซาธ์แฮมป์ตัน ปัจจุบัน ผมเคยดันเขาขึ้นมาจากทีมเยาวชนของทีมท้องถิ่นในเซอร์เบียสู่วอดโวจิน่า และอีกหลายๆ คนในทีมชาติกานาชุดประวัติศาสตร์ ที่ก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในยุคของผม ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นเพียงดาวรุ่งที่เล่นฟุตบอลลีกภายในประเทศเท่านั้น ณ เวลาที่ผมเรียกพวกเขาติดธง

เป้าหมาย

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทีมชาติไทยมาถึงรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ซึ่งหลังผ่านไป 7 เกม ไืทยมีแค่คะแนนเดียว เรายังมีเกมให้เล่นอีก 3 เกม แม้ว่าไม่มีผลต่อการเข้ารอบแล้ว แต่ทุกแมตช์มีความสำคัญ ผมตั้งใจว่าจะใช้เกมที่เหลือเพื่อทดลองทีมเตรียมพร้อมสำหรับเอเชียน คัพ 2019 รวมถึงฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ครั้งต่อไป และจะพยายามพัฒนาทีมชาติไทยให้ทัดเทียมกับทีมชั้นนำระดับทวีปตามที่เราหวังไว้ต่อไป