หน้าแรกแกลเลอรี่

ภารกิจชิงตั๋วโอลิมปิก งานหินช้างศึกยู 23

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

29 ก.ย. 2562 05:01 น.

ในที่สุดผลการจับสลากแบ่งสายการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ทีมชาติไทยในฐานะเจ้าภาพ อยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับ อิรัก, ออสเตรเลีย, บาห์เรน

ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือ กลุ่มบี กาตาร์, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย, ซีเรีย กลุ่มซี อุซเบกิสถาน, เกาหลีใต้, จีน, อิหร่าน และกลุ่มดี เวียดนาม, เกาหลีเหนือ, จอร์แดน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำหรับสังเวียนแข่งขัน แม้ก่อนหน้านี้จะมีปัญหาเรื่อง “สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี” ที่ปรับปรุงเสร็จไม่ทัน รวมถึงนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องลงพื้นที่สำรวจการปรับปรุง “ราชมังคลากีฬาสถาน” ก่อนยืนยันว่าทันส่งมอบแน่นอน

ตอนนี้จึงมีความชัดเจนแล้วว่าจะใช้ 4 สนาม ประกอบด้วย ช้าง อารีนา ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (แทนที่เชียงใหม่), ติณสูลานนท์ จ.สงขลา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และราชมังคลากีฬาสถาน

โดย “ช้างศึกยู 23” จะปักหลักฟาดแข้งที่ ราชมังฯ ประเดิมแมตช์แรกพบกับบาห์เรน วันที่ 8 ม.ค.63, นัดที่ 2 พบออสเตรเลีย วันที่ 11 ม.ค.63 และนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม พบอิรัก วันที่ 14 ม.ค.63 ทั้ง 3 นัดเริ่มคิกออฟ 20.15 น.

ขณะที่อากิระ นิชิโนะ กุนซือทีมชาติไทย ระบุว่า ในระดับรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ไม่มีใครเหนือกว่าใครอย่างชัดเจน ทำให้ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักเตะของเรารวมถึงคู่ต่อสู้ด้วย

หลังจากนี้จะแบ่งทีมเก็บตัวทั้งในรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ให้ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร ดูแลเพราะเคยผ่านการทำงานกับเยาวชนมาก่อน แต่พอผ่านช่วงคัดบอลโลกไปแล้ว ก็จะเข้ามาดูแลชุดยู 23 อย่างเต็มที่

“การแข่งขันครั้งนี้มีตั๋วไปโอลิมปิกเป็นเดิมพัน ซึ่งจะจัดที่ประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของผม ความรู้สึกส่วนตัวก็อยากจะพาทีมไทยไปเล่นให้ได้ แต่เราก็ต้องทุ่มเทและทำงานให้หนักมากกว่านี้ เราถึงจะไปได้”

ทัวร์นาเมนต์นี้จะคัดเลือก 3 ทีมเป็นตัวแทนจากทวีปเอเชีย ไปแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว

แต่หากแข้งแดนปลาดิบ สามารถกรุยทางผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ จะทำให้อีก 3 ทีมที่เหลือในรอบนี้จะได้ไปเล่นโอลิมปิกเกมส์ทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูเพื่อนร่วมสายในรอบแบ่งกลุ่มของช้างศึกถือว่าเป็นงานหนัก เพราะออสเตรเลีย กับอิรัก ก็เป็นทีมแกร่งที่มีอันดับสูงกว่าไทย

ส่วนบาห์เรนแม้หลายฝ่ายจะมองว่าเป็นทีมที่เรามีโอกาสคว้าชัยชนะ แต่จะประมาทไม่ได้เลยเพราะเขาก็ผ่านเข้ารอบมาด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม จึงไม่ใช่งานง่ายที่จะเอาชนะได้

หรือหากผ่านเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ คงหนีไม่พ้นที่ต้องไปเจอทีมเต็งจากสายบีอย่างญี่ปุ่น, กาตาร์ หรือซาอุดีอาระเบีย

แถมผลงานทีมชาติไทยที่ผ่านมา เริ่มจากปี 2016 เสมอ 2 แพ้ 1 ส่วนปี 2018 ก็แพ้รวดทั้ง 3แมตช์ ยังไม่เคยเก็บชัยชนะได้เลย

ต้องมาลุ้นกันว่า กุนซือสายเลือดซามูไรจะพาช้างศึกคว้าชัยชนะเป็นหนแรกได้หรือไม่?

ถ้าจะให้ว่ากันตรงๆโอกาสจะเข้ารอบรองชนะเลิศ เพื่อลุ้นเป็น 1 ใน 3 ช่างยากเย็น

แต่ใครจะไปรู้ฟุตบอลลูกกลมๆ ที่แข่ง 11คนเท่ากัน อะไรก็เกิดขึ้นได้!!

พิสิฐ ภูตินันท์