หน้าแรกแกลเลอรี่

รอดูสัญญาณ

เบี้ยหงาย

17 มิ.ย. 2562 05:01 น.

เป็นการขยับขับเคลื่อนกันใหม่ สำหรับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กีฬาฮอตฮิตอันดับ 1 ซึ่งในระยะหลังออกอาการเป๋มาตลอด จากผลงานของทีม ชาติไทยในหลากหลายชุด หลังสุดก็จบอันดับ 4 อันดับสุดท้ายจาก 4 ทีม ที่เข้าแข่งขันในรายการคิงส์คัพ ครั้งที่ 47

โดยมีการแต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคคนใหม่ การ์เลส โรมาโกซา ชาวสเปน ดีกรีไม่ต้องห่วง ย่อมดีอยู่แล้ว ไม่งั้นไม่เลือกมา ส่วนดีกรีจะสะท้อนออกมาเป็นผลงานกับทีมไทยอย่างไร ได้หรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่ต้องดูกันไป

และแน่นอน การเข้ามาของ การ์เลส โรมาโกซา คงไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนได้ชัดจากตัวเขาที่มีการระบุถึงแนวทาง

การทำงานออกมา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทุกทีมให้อยู่ในปรัชญาเดียวกัน เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไล่ตั้งแต่รุ่นอายุ 14, 16 และ 18 ปีขึ้นไป ไม่เฉพาะนักเตะ รวมทั้งโค้ชก็ต้องไปในทิศทางเดียวกัน

ซึ่งนั่นคงเป็นที่มาของการที่สมาคมฯให้สิทธิ์ การ์เลส เลือกโค้ชทีมชาติในรุ่นต่างๆ ทั้งชุดใหญ่ และยู 23 สอดรับกับการที่โค้ชเก่า ทั้ง ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย, โชคทวี พรหมรัตน์ ในชุดใหญ่ และรวมถึงเป็นจังหวะที่ อเล็กซานเดร กามา ในชุด 23 ปี ก็ออกไปอยู่กับเมืองทองยูไนเต็ด ก็น่าจะเป็นไปตามแนวทางของการ์เลส ที่ต้องการเลือกโค้ชที่สอดคล้องกับปรัชญาที่วางไว้ น่าสนใจว่าจะเลือกแบบไหน และดูแล้วคงหาโค้ชต่างชาติมาแน่ โค้ชไทยน่าจะเป็นเพียงทีมงานเท่านั้น

ไม่แค่นั้น สมาคมกีฬาฟุตบอลฯยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและบริหารฟุตบอลทีมชาติไทยขึ้นมาชุดหนึ่ง มี ดร.วิชิต คนึงสุขเกษม เป็นประธาน กรรมการก็หลากหลายและเป็นที่รู้จักอยู่ มี 15 คน แต่คนจะทำงานจริงๆมีแค่ไหน รวมทั้งจะเป็นไปตามแนวทางที่วางไว้อย่างสวยหรูได้หรือไม่ ก็ต้องให้เวลาในการพิสูจน์

ทั้งสองส่วน ผอ.เทคนิค ก็ดี และคณะกรรมการพัฒนาฯทีมชาติ ก็ดี ล้วนแต่มีเงื่อนไขของ “เวลา” และเป็นเวลาที่ต้องใช้เวลา

การขยับครั้งนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 1 ปี ของสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯชุดนี้ เป็นช่วงเวลาที่ทีมฟุตบอลชาติไทย มีภารกิจสำคัญที่ใกล้เข้ามา อาทิ ทีมชาติชุดใหญ่ จะเริ่มเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนัดแรกในวันที่ 5 ก.ย. หลังจับสลากแบ่งสายในวันที่ 17 ก.ค.นี้ ชุด 23 ปี มีรายการสำคัญยิ่ง ชิงแชมป์เอเชีย ที่ไทยเราจะเป็นเจ้าภาพต้นเดือน ม.ค.2563 อันถือเป็นรายการคัดโอลิมปิกโซนเอเชียไปในตัว ยังไม่นับทางผ่านอย่างซีเกมส์เข้าไป

หรือหากจะนับย้อนเวลาถึงสัญญาณของความล้มเหลวในฟุตบอลไทยกลับไป มีสัญญาณออกมาหลายต่อหลายครั้ง ที่ใหญ่ๆก็ตั้งแต่เอเชียนเกมส์ปีก่อน ต่อเนื่องถึงซูซูกิคัพ และมาเอเชียนคัพ เมื่อต้นปี แต่ “เวลา” ของการขยับปรับตัวก็ทอดมาเรื่อย จนมาเพิ่งลงมือกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง!

หลายคนคงจะนึกถึงสำนวน “มาช้าดีกว่าไม่มา” เป็นเครื่องปลอบประโลม

แต่เวลาที่เหลืออยู่นี้ มากน้อยแค่ไหนก็คงพอจะมองเห็นกัน

ทั้งคัดบอลโลก ที่จะเริ่มในอีก 2 เดือนเศษๆ

และคัดโอลิมปิก ในอีก 6 เดือน ถ้าผ่านแล้วก็รอคอยกันไปในวงรอบใหม่อีก 4 ปี สภากรรมการฯ ชุดใหม่ก็จะมีในอีกราวๆ 1 ปีข้างหน้า

แล้วจะใช้เวลาเท่าไหร่ จะทันหรือไม่ที่จะให้แฟนบอลได้เห็นสัญญาณของพัฒนาการที่ดีขึ้น

เพื่อกอบกู้ศรัทธาให้กลับมาอีกครั้ง

อย่าให้สัญญาณที่รอกัน กลับกลายเป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลงในอีก 1 ปีข้างหน้า ซึ่งคงจะไม่ชอบใจกันแน่...

“เบี้ยหงาย”