บี บางปะกง
บทสรุปสุดท้ายของ ศึกฟุตบอล ชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพครั้งที่ 47 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป
เป็นนักเตะ “กือราเซา” ที่ถูกเชิญมาเป็นทีมสุดท้ายในทัวร์นาเมนต์นี้ ผงาดคว้าถ้วยแชมป์ไปครอง หลังดวลจุดโทษเอาชนะเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศ
ทำเอาแฟนลูกหนังบ้านเราถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะไม่งั้นมีหวังโลกนี้คงสงบยากหน่อยถ้าเกิดแข้งเหงียนเข้าป้ายกันจริงๆ
ตกลงบอลคิงส์คัพหนนี้ ไม่มีอะไรน่าจดจำสักอย่างสำหรับทีมชาติไทย
การแพ้เวียดนามคาบ้าน ก่อนจะมาโดน อินเดียย้ำแค้น จบด้วยอันดับ “บ๊วยถ่วย” อย่างที่เห็นกัน
ตอกย้ำถึงผลงานที่ตกต่ำเหลือเชื่อของทีมช้างศึกในพอศอนี้อย่างแท้จริง!!
ซึ่งแน่นอนกระแสกดดันต่างๆนานา ย่อมถาโถมเข้าใส่คนทำทีมอย่าง “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย และทีมงานสตาฟฟ์โค้ชอย่างเลี่ยงไม่ได้
เช่นเดียวกันกับผู้นำองค์กร “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ. ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่โดนแรงกระแทกกระทั้นจากรอบทิศทางจนอ่วมอรทัยตามเคย
ร้อนถึงบรรดา “องครักษ์” ในโลกไซเบอร์ทั้งหลายที่ต้องออกมาแอ็กชันตอบโต้กับคลื่นมหาชน “คนไม่ปลื้มอ๊อด” ซึ่งเวลานี้มันช่างมี มหาศาลซะเหลือเกิน!
อย่างที่ผมเคยบอกเป็นประจำละครับว่า ผลงานของทีมชาติ ก็เปรียบเหมือน “สินค้าหน้าโชว์รูม” นั่นแหละ...
ต่อให้คุณบริหารงานดีมีตัวเลขประกอบการสวยหรูเพียงใดแต่ถ้า ผลแข่งของทีมชาติขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้คน
นั่นคือถือว่า “ล้มเหลว”
การเอาศึกคิงส์คัพครั้งนี้มาสัญจรที่บุรีรัมย์ก็เหมือนกัน
ปัจจัยความพร้อมต่างๆของเจ้าภาพถือว่าสมบูรณ์แบบเกินร้อย น่าจะส่งให้แข้งช้างศึกประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเย็น
แต่ในเมื่อผลงานในสนามที่ออกมามัน ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็เลย เอวัง! ด้วยประการฉะนี้
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมบอลไทยมาล้มเหลวที่นี่นะครับ
ถ้าจำกันได้ในบอลอุ่นเครื่อง ยู-23 เมื่อปลายปี 60 ทีมชาติไทยรุ่นยังเติร์กก็มาแพ้เวียดนามได้แค่ที่ 4
ดังนั้นประเด็นความ “ไม่ถูกโฉลก” กับสนามแห่งนี้จึงถูกหยิบยกมาเม้าท์มอยกันตามระเบียบ
ซึ่งก็คงไม่ต่างจาก โลโก้ “ช้างอมงวง” หรือแม้กระทั่ง “สีเสื้อแข่ง” ที่วิจารณ์กันให้ขรม แล้วแต่ความเชื่อของผู้คนจะคิดกันไป
แต่ที่สุดแล้ว ทุกคำถาม ทุกประเด็นจะย้อนกลับมาที่ตัว “ประมุขสมาคม” อยู่ดี ไม่มีหนีไปไหน
จนหลายคนชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า...ที่ไม่ถูกโฉลกกันจริงๆ
คือ “ตัวบุคคล” หรืออะไรกันแน่!!!
บี บางปะกง