หน้าแรกแกลเลอรี่

เจาะกึ๋น-วัดขุมกำลัง! 4 ทัพลูกหนังแห่งศึกคิงส์คัพ 2018

ไทยรัฐออนไลน์

22 มี.ค. 2561 06:00 น.

เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง การแข่งขันศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 ก็จะกลับมาลั่นกลองรบกันอีกครั้ง โดยในปีนี้มีสุดยอดทีมจาก 3 ทวีป บวกกับทีมชาติไทยในฐานะเจ้าภาพและแชมป์เก่า 2 สมัยซ้อน ร่วมเผดียงแข้งกันที่สังเวียนราชมังคลาฯ อันคุ้นเคย...

แต่ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์จะพาไปเจาะลึกถึงรายละเอียด ถึงขุมกำลังนักเตะและเฮดโค้ชของแต่ละชาติในครั้งนี้ว่า มีดีมากน้อยแค่ไหน 

ทีมชาติกาบอง

เกียรติประวัติในคิงส์คัพ : เข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรก

กุนซือ : โฆเซ อันโตนิโอ คามาโช

แทบไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันมากนัก สำหรับกุนซือจากแดนกระทิงดุวัย 62 ปีรายนี้ เพราะด้วยประสบการณ์ที่ข้นคลั่ก จากการคุมทีมทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ทำให้เจ้าตัวได้รับงานคุมทัพ “เดอะ แพนเธอร์” เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา

และการมาเยือนเมืองไทยอีกในครั้งนี้ น่าจะเป็นบททดสอบที่น่าสนใจของอดีตกุนซือเรอัล มาดริด ว่า จะสามารถปรับจูนระบบของทีมให้กลับมาดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน หลังผลงานในรอบปี 2017 ไม่ค่อยดีนัก เก็บชัยชนะได้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ คามาโช ยังจะได้มีโอกาสล้างตาขุนพลช้างศึกด้วย หลังโดนทีมชาติไทยชุดผสมบุกไปถล่มทีมชาติจีนถึงบ้าน 5-1 เมื่อปี 2013 ทำให้มีอันต้องกระเด็นตกงานไปในที่สุด

ขุมกำลังสำคัญ

แม้จะไม่มีชื่อของดาวยิงตัวกลั่นอย่าง ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง ที่ยกเลิกการเดินทางเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว แต่ทีมชาติกาบองก็ยังมีแข้งดาวเด่นอีกหลายรายที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น ดิดิเยร์ โอโวโน นายทวารจอมเก๋าวัย 35 ปี ที่ครองสถิติติดทีมชาติมากที่สุดในขณะนี้, บรูโน เอคูเอเล่ ม็องกา แนวรับจากคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้, มาริโอ เลอมินา มิดฟิลด์ฝีเท้าดีจากเซาแธมป์ตัน รวมไปจนถึง ดิดิเยร์ เอ็นดอง, เฟรเดริก บูล็อต, โยฮันน์ โอเบียง และ เลวี มาดินดา

ทีมชาติสโลวะเกีย

เกียรติประวัติในคิงส์คัพ : แชมป์ 1 สมัย (ปี 2004)

กุนซือ : แยน โคซัค 

เฮดโค้ชวัย 63 ปีรายนี้ เข้ามาเทคโอเวอร์เก้าอี้นายใหญ่ของทีมเมื่อปี 2013 และนำทีมต่อกรกับบรรดายักษ์ใหญ่อย่าง เวลส์ และอังกฤษ ได้อย่างน่าประทับใจในศึกยูโร 2016 ที่ผ่านมา กระทั่งกรุยทางเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

แต่ถึงแม้ผลงานในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนยุโรป จะไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เมื่อพลาดคว้าตั๋วเพลย์ออฟไปนิดเดียวเท่านั้น แต่อย่างน้อยการนำทีมพลังหนุ่มมาล่าแชมป์คิงส์คัพเป็นคำรบที่ 2 ก็น่าจะช่วยให้ โคซัค เห็นอะไรใหม่ๆ ที่จะนำไปต่อยอดในทัวร์นาเมนต์ถัดไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ขุมกำลังสำคัญ

ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย เมื่อ มาเร็ค ฮัมซิค ดาวยิงคนสำคัญของทีมสโลวัก จะได้รับบาดเจ็บและถอนตัวไปในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ แต่แข้งดังรายอื่นๆ ของทีมก็ยังมากันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน สเคอร์เทล, ปีเตอร์ เปการิก, มาร์ติน ดูบราฟกา, มิลาน สคริเนียร์, โทมัส ฮูโบกัน, สตานิสลาฟ โลบอตกา, ออนเดรจ ดูดา รวมไปจนถึง อดัม เนเมค

ทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เกียรติประวัติในคิงส์คัพ : อันดับ 4 (ปี 2016)

กุนซือ : อัลแบร์โต ซัคเคโรนี

‘อิล ซัค’ คือหนึ่งในกุนซือชื่อดังชาวอิตาเลียน ที่มีประสบการณ์การคุมทีมแบบเต็มกระบุงโกย หลังพาทีมชาติญี่ปุ่นคว้าแชมป์เอเชียน คัพ เมื่อปี 2011 ได้สำเร็จ จากนั้นกุนซือวัย 64 ปี ก็ชักติดใจการทำงานในทวีปเอเชีย กระทั่งเข้ามารับเผือกร้อนต่อจาก เอ็ดการ์โด เบาซา เมื่อปี 2017 และช่วยให้ยูเออีคว้ารองแชมป์กัลฟ์ คัพ มาครองเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ขุมกำลังสำคัญ

ทัพนักเตะยูเออีชุดนี้ ยังคงเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งและประมาทไม่ได้เช่นเดิม แม้จะไร้เงาสองดาวเตะสำคัญอย่าง โอมาร์ อับดุลระห์มาน กับ อาลี มาบคูต เพราะมีปัญหาด้านวินัย แต่ขุมกำลังที่เหลืออยู่ ก็เพียงพอต่อการไล่ล่าแชมป์คิงส์คัพสมัยแรกของพวกเขา แม้ในช่วงหลังเปอร์เซ็นต์ของการทำประตูจะตกลงไปอย่างน่าใจหายก็ตาม

สำหรับดาวดังที่จะเดินทางมาโชว์ฝีเท้าบนแผ่นดินสยามในครั้งนี้ นำโดย มาเจด นาเซอร์, ฮัมดาน อัล คามาลี, โมฮาเหม็ด อาห์เหม็ด, อิสมาอิล อัล ฮัมมาดี, คามิส เอสมาเอล, อาห์เหม็ด คาลิล, อิสมาอิล มาตาร์ และ โมฮาเหม็ด ฟาวซี

ทีมชาติไทย

เกียรติประวัติในคิงส์คัพ : แชมป์ 15 สมัย

กุนซือ : มิโลวาน ราเยวัช

กุนซือชาวเซอร์เบีย เข้ามารับงานคุมทัพช้างศึกด้วยความหวังที่สูงขึ้น เป้าหมายนอกจากการไต่แรงกิ้งฟีฟ่าให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังต้องยกระดับทีมให้สูงขึ้นกว่าการอยู่ในระดับอาเซียน และที่สำคัญคือในปี 2019 ต้องพาทีมชาติไทยทำผลงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม ในศึกเอเชียนคัพ นั่นคือการทะลุเข้าสู่รอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกให้ได้

และกาป้องกันแชมป์คิงส์คัพ 2018 ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญไม่น้อย เพราะนอกจากศักดิ์ศรีแชมป์เก่า 2 สมัยที่ค้ำคอแล้ว ยังมีแต้มฟีฟ่าแรงกิ้งเป็นเดิมพันอีกด้วย

ขุมกำลังสำคัญ

สำหรับนักเตะที่ ราเยวัช เรียกเข้าแคมป์ในครั้งนี้ ไม่ได้แตกต่างจากทีมชุดเดิมที่เล่นฟีฟ่า เดย์ ไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมามากนัก ยกเว้นเพียงบางรายเท่านั้น ที่ถูกเรียกเข้ามาทดแทนผู้เล่นที่บาดเจ็บ แต่ในครั้งนี้เชื่อแน่ว่าหลายคนคงจับตามองไปที่ 3 ทหารเสือ ซึ่งกำลังโลดแล่นในเจลีกทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ว่า การค้าแข้งในลีกที่สูงขึ้นกว่าเดิม จะช่วยยกระดับให้กับทีมชาติได้มากน้อยเพียงใด

อย่าลืมติดตามชมและเชียร์ขุนพลทีมชาติไทย ในการป้องกันแชมป์คิงส์คัพเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน แบบใกล้ชิดติดขอบสนามราชมังคลากีฬาสถาน และทางหน้าจอไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ซึ่งจะถ่ายทอดสดให้ชมกันอย่างจุใจ ทั้งในวันที่ 22 และ 25 มีนาคมนี้.