ไทยรัฐออนไลน์
รูดม่านปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการลงสนามของทีมชาติไทยในปี 2017 หลังไม่สามารถเคลียร์คิวในเดือนพฤศจิกายน เพื่อลงลับแข้งตามปฏิทินฟีฟ่าเดย์ในอีก 2 นัดสุดท้ายของปีได้ เนื่องจากติดโปรแกรมลีกภายในประเทศ...
แต่อย่างไรก็ตาม ผลงานในรอบปีที่ผ่านมา ก็ถือว่าถูกใจพระเดชพระคุณแฟนบอลอยู่ไม่น้อย เมื่อพลพรรคช้างศึกได้ตัว มิโลวาน ราเยวัช กุนซือมากประสบการณ์ชาวเซอร์เบีย ซึ่งคร่ำหวอดในวงการลูกหนังมาเป็นเวลานาน รวมถึงเคยทำทีมชาติกานาเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก เข้ามาทำหน้าที่เฮดโค้ชคนใหม่
ซึ่งก่อนที่หมอกและควันของบรรยากาศการเชียร์จะจางลงไป ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์ จะพาย้อนกลับไปดูผลงานของทีมชาติไทยในปี 2017 ว่าสร้างความประทับใจเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน
ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย
ผลงาน : แข่ง 5 นัด, ชนะ 0, เสมอ 1, แพ้ 4
ปฏิเสธไม่ได้ว่าศูนย์หน้าจอมตีลังกาอย่าง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คือผู้ที่มาปลุกปั้นแข้งดาวรุ่ง ให้ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทัพช้างศึกปัจจุบันได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ผลงานฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกใน 2017 ก็ยังไม่ดีขึ้น แพ้ให้กับ ซาอุดีอาระเบีย 0-3 และญี่ปุ่น 0-4 ทำให้ "พี่โก้" ของน้องๆ ต้องแสดงสปิริตด้วยการประกาศไขก๊อก ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเป็นการรับผิดชอบ
จากนั้นไม่นาน หลังฝุ่นตลบอยู่พักใหญ่ ทีมชาติไทยก็ได้กุนซือคนใหม่ดีกรีระดับโลกเข้ามาทำหน้าที่ เมื่อ "มิโลวาน ราเยวัช" โค้ชมากฝีมือชาวเซอร์เบีย ถูกเลือกเข้ามาทำหน้าที่ โดยภารกิจแรกคือการเข้ามาอุดรอยรั่วในแผงหลังได้ดีขึ้น และแจ้งเกิด 2 เซ็นเตอร์แบ็กตัวเลือกใหม่อย่าง พรรษา เหมวิบูลย์ และ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว รวมถึงการกลับมาผงาดในสีเสื้อทีมชาติอีกครั้งของ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโค้ชมิโลจะไม่ใช่ผู้วิเศษที่มาพร้อมไม้กายสิทธิ์ ที่จะเสกอะไรก็ได้ตามต้องการ เมื่อทีมชาติไทยเก็บเพิ่มได้อีกเพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น จาก 3 เกมสุดท้ายในศึกคัดบอลโลกโซนเอเชีย ด้วยผลงาน เสมอ ยูเออี 1-1, แพ้ อิรัก 1-2 และแพ้ ออสเตรเลีย 1-2 แต่อย่างน้อย แฟนบอลไทยก็ยังพอได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง จากรูปแบบเกมรับที่ดีขึ้น
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45
ผลงาน : แข่ง 2 นัด, ชนะ เกาหลีเหนือ 3-0, ชนะจุดโทษ เบลารุส 5-4 (0-0)
ศึกคิงส์คัพ 2017 ถือเป็นงานแรกที่ มิโลวาน ราเยวัช ได้มีเวลาเตรียมตัวอย่างเต็มที่มากที่สุด โดยหลังจากเข้ามาขันแนวรับของทัพช้างศึกให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับเซตแท็กติกเกมรุกให้มีประสิทธิภาพ และหลากหลายมากขึ้น ทำให้ผลงานในสนามดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ออกสตาร์ตเกมแรก สามารถเอาชนะหนึ่งในทีมหัวแถวของเอเชียอย่าง “โสมแดง” เกาหลีเหนือ ไปอย่างน่าประทับใจ 3-0 จากนั้นในรอบชิงชนะเลิศ ยังสู้กับ เบลารุส ทีมแกร่งจากยุโรปได้อย่างสนุก และต้องลุ้นกันจนถึงฎีกา ก่อนที่จะเบียดเอาชนะไปได้ในการดวลจุดโทษ 4-5 หลังเสมอในเวลา 0-0 ป้องกันแชมป์เอาไว้ได้อีกสมัย พร้อมทั้งเป็นการคว้าแชมป์โดยไม่เสียประตูตลอด 90 นาที ทั้งสองนัดอีกด้วย
ฟุตบอลนัดกระชับมิตร (ฟีฟ่าเดย์)
ผลงาน : แข่ง 3 นัด, ชนะ 2, แพ้ 1
แม้ในเกมนัดแรกเมื่อเดือนมิถุนายน "ราเยวัช แอนด์ เดอะ แก๊ง" จะมีเวลาเตรียมตัวได้ไม่นาน ก็ต้องออกไปเยือน อุซเบกิสถาน ที่กรุงทัชเคนต์ แต่ก็ถือว่าทำผลงานได้ดีไม่น้อยหากดูจากรูปเกม สู้กับเจ้าถิ่นได้สูสี ขาดเพียงแค่จังหวะจบสกอร์ที่เฉียบคมเท่านั้น ทำให้แพ้ไปในที่สุด 0-2
แต่ใน 2 เกมส่งท้ายปี 2017 ช่วงเดือนตุลาคม ซึ่ง ราเยวัช มีเวลาดูฟอร์มนักเตะในลีกอย่างทั่วถึง ทำให้สามารถหยิบจับนักเตะที่ถูกตาต้องใจเข้ามาใช้งานได้ตามแท็กติก เปิดโอกาสให้แข้งหน้าใหม่เข้ามาชิมลางในแคมป์ทีมชาติได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็น ประสิทธิ์ ผดุงโชค, มานูเอล ทอม เบียรห์, ฟิลิป โรลเลอร์, สุพรรณ ทองสงค์, สุริยา สิงห์มุ้ย และที่เรียกเสียงฮือฮามากที่สุดคือ สุพจน์ จดจำ ดาวยิงตาข่ายขาดจากลีกรอง
ส่วนผลงานในสนาม ก็ถือว่าโชว์ฟอร์มได้สมความคาดหมาย เมื่อบุกไปกำราบเมียนมา 3-1 ได้ถึงมันฑะเลย์ ก่อนจะกลับมาเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ เคนยา ทีมอันดับ 88 ของโลกจากทวีปแอฟริกาไป 1-0 ปิดฉากปี 2017 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้จะมีโปรแกรมฟีฟ่าเดย์เหลืออีก 2 นัดในช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่น่าเสียดายที่ ทีมชาติไทย ไม่สามารถเคลียร์คิวลงลับแข้งได้ เพราะติดปัญหาเกี่ยวกับฟุตบอลภายในประเทศ แต่เชื่อว่าในปี 2018 แฟนบอลไทยจะยังคงเฝ้ารอคอยการลงสนามของพลพรรคช้างศึกอีกครั้ง อย่างใจจดใจจ่อเช่นเดิม รวมถึงอาจจะมีเซอร์ไพรส์ในการลงปะทะแข้งกับทีมดังของโซนยุโรป ซึ่งแว่วว่า มิโลวาน ราเยวัช เตรียมไว้เสริมกระดูกให้กับลูกทีม เพื่อยกระดับ และผลงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม.