เบี้ยหงาย
เกี่ยวไม่เกี่ยว เกี่ยวมากหรือเกี่ยวน้อยอย่างไรก็ตาม ต้องนับว่า “หลวงพ่อนิด” นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน มีความ “ศักดิ์สิทธิ์” ในระดับหนึ่ง พลันที่เอ่ยปากบอกว่า “อยากดู” ฟุตบอลเอเชียนคัพ 2023 เช่นเดียวกับแฟนฟุตบอลชาวไทย วันรุ่งขึ้นความกระจ่างชัดก็บังเกิด จากเอเอฟซี ประกาศออกมาก่อนว่า ไทยแลนด์มีเจ้าของสิทธิ์การถ่ายทอดสดร่วมกับชาติอื่น ระบุถึงพีพีทีวี และทีสปอร์ตส์ 7 เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด
นั่นหมายถึงในเมืองไทยสามารถดูได้อย่างถูกต้องใน 2 ช่องดังกล่าว
ถัดมาไล่ๆกัน พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 ก็ได้ประกาศความเป็นสถานีโทรทัศน์เตรียมถ่ายทอดสด ฟุตบอลเอเอฟซี เอเชียนคัพ 2023 ให้แฟนบอลชาวไทยได้เชียร์กันเต็มอิ่ม เริ่มต้นด้วย 3 แมตช์แรก ในรอบแบ่งกลุ่ม
เริ่มจาก 16 ม.ค. เวลา 21.30 น. ไทย พบ คีร์กีซสถาน, 21 ม.ค. เวลา 21.30 น. เจอโอมาน และ ปิดท้าย 25 ม.ค. เวลา 22.00 น. พบซาอุดีอาระเบีย แถมด้วยนัดชิงชนะเลิศ 10 ก.พ. เวลา 22.00 น.
และเชื่อมั่นได้เลยว่า หากทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ หรือรอบลึกๆไปกว่านี้จะมีการ ถ่ายทอดสดเพิ่มเติมครบถ้วน ได้ใจคนไทยไปแล้ว
ส่วนค่าลิขสิทธิ์จะเป็นเท่าไหร่ ใครร่วมจ่ายกัน อย่างไร อันนี้ไปกระซิบถามกันเอาเอง โดยทีสปอร์ตส์7 จะร่วมถ่ายทอดสดด้วย
ถึงตรงนี้ก็รอดูเท่านั้น ไทยแลนด์จะพร้อมหรือไม่อย่างไร แฟนบอลทั้งประเทศจะได้รับรู้รับชมไปพร้อมๆกัน
และช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยระหว่างการแข่งขันฟุตบอล เอเชียนคัพที่จะจบในวันที่ 10 ก.พ.นั้น ต้องไม่ลืมว่า การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ องค์กรที่กำกับดูแล และรับผิดชอบในการเตรียมทีม ฟุตบอลทีมชาติไทยนี่แหละ จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.พ.
ตามปกติแล้ว เกมการแข่งขันของฟุตบอลชาติ ไทยไม่ว่าระดับไหน หากเป็นเกมสุดท้ายก่อนจะมีการ เลือกตั้ง ได้นายใหม่ของวงการลูกหนังไทย ผลพวงจากเกมจะส่งผ่านถึงการเลือกตั้งอย่างมีนัยแน่นอน
ยิ่งเป็นเกมใหญ่สุดในทวีปเอเชีย อย่างเอเชียนคัพนี้ ดีกรีความเข้มข้นต้องสูงยิ่ง
มันมีอะไรมากกว่าการ “อยากดู”
ต่อให้อาจไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ในแง่ของจิตใจ ความรู้สึก และการวิพากษ์ จากบุคคลภายนอกองค์กร ย่อมต้องมีส่วนกระทบถึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากเป็นเมื่อก่อน ผู้ที่เกี่ยวข้องย่อมจะรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยิ่งภาพของการเตรียมตัว เตรียมทีม ที่ออกมา ก่อนเกมนี้ ไม่ได้เป็นไปในทาง “บวก” เลย ก็ยิ่งสุ่มเสี่ยง และควรระวังอย่างหนัก
แต่ปัจจุบันนี้ แตกต่าง ดูไม่เหมือนเดิม ไม่มี ผลต่อกัน
ไม่ต้องให้ใครบอก ตัวเราเอง ความรู้สึกของเราเองนี่แหละจะสัมผัสรับรู้ได้ดีที่สุด
เลือกตั้งก็เลือกไป ฟุตบอลก็แข่งกันไป ผลออกมา อย่างไร ไม่ผูกพัน ไม่ยึดโยง เกี่ยวข้องกัน
ก็แปลกๆดี บอลไทยที่เคยอยู่ในสายเลือด ไม่เข้มข้น ไม่ขลัง และไม่เป็นที่อยากคาดหวังดังเดิม กันหรือ ดูรับสภาพ ปลงตกกันหมดแล้ว ใครมาใครไป ยังสัมผัสไม่ได้ถึงความแตกต่าง กระนั้นหรือ...
อะไรคือสิ่งที่หายไป!
ความรู้สึกเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน!!!
“เบี้ยหงาย”