หน้าแรกแกลเลอรี่

ศึกแห่งศักดิ์ศรี 3 สิ่งที่แฟนบอลไทยจะได้เห็นและเรื่องน่าสนใจ จาก "คิงส์ คัพ 2022"

ไทยรัฐออนไลน์

19 ก.ย. 2565 06:00 น.

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 48 เตรียมกลับมาฟาดแข้งหลังจากหายไป 3 ปี มีเรื่องใหม่ที่แฟนบอลไทยจะได้เห็นและเรื่องราวที่น่าสนใจกับ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในรายการนี้

นับถอยหลังฟุตบอลรายการที่เก่าแก่อายุยาวนานที่สุดในเอเชีย ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 48 จะเปิดฉากขึ้น จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2511 มาจนถึงปัจจุบันกว่าครึ่งศตวรรษ (54 ปี) ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกทำให้ศึกคิงส์ คัพ หยุดการแข่งขันไปก่อนกลับมาอีกครั้งในปี 2022 ทำให้มีจุดที่น่าสนใจและเรื่องราวที่แฟนฟุตบอลชาวไทยไม่ควรพลาด

1.สองแข้งเจลีก ญี่ปุ่น + สายเลือดใหม่ฟอร์มแรง

23 นักเตะช้างศึก ชุดลุยศึกคิงส์ คัพ 2022 ถือเป็นทีมที่น่าสนใจนำทีมมาโดย 2 แข้งจากศึกเจลีก ญี่ปุ่น เมสซีเจ ชนาธิป สรงกระสินธิ์ จากคาวาซากิ ฟรอนตาเล และ สุภโชค สารชาติ จาก  คอนซาโดเล ซัปโปโร แน่นอนชนาธิปหวังที่จะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาเนื่องจากช่วงหลังหลุดไปเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้งกับฟรอนตาเล ส่วน สุภโชค ฟอร์มแรงแม้ลงเล่นไป 6 นัด รวม 80 นาที แต่จัดไป 3 แอสซิสต์ ผนึกกำลังกับแข้งไทยเลือดใหม่ที่ฟอร์มแรง ศุภชัย ใจเด็ด ที่นำดาวซัลโวไทยลีกในเวลานี้ 5 ประตู เท่ากับ ดานิโล อัลเวส รวมทั้งคนที่ฟอร์มดีไม่ว่าจะเป็น ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, กฤษดา กาแมน, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว (ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก) โดยมีแข้งหลักอย่าง ธีราทร บุญมาทัน คอยประคอง รวมทั้งแข้งวัยเก๋าที่ฟอร์มเปรี้ยงปร้างในไทยลีกอย่าง จักรพันธ์ แก้วพรม 

2.ถ้วยพระราชทานใบใหม่ + กลับมาแข่งรอบ 3 ปี หวังทวงแชมป์

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลคิงส์ คัพ ครั้งนี้ สมาคมฯ ได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลใบใหม่ เป็นการออกแบบใหม่ จะนำมาเปิดในวันที่ 22 ก.ย.65 ที่เป็นวันเปิดการแข่งขัน

อย่างไรก็ตามศึกคิงส์คัพ เป็นการกลับมาแข่งขันในรอบ 3 ปี เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ครั้งสุดท้ายที่แข่งขันปี 2019 ซึ่งไทยได้เพียงอันดับ 3 โดยนัดแรกไทยพลาดท่าแพ้เวียดนาม 0-1 แบบน่าเจ็บใจดังนั้นครั้งนี้ทีมชาติไทยหวังแก้ตัวคว้าแชมป์กลับมาให้ได้เพราะหนสุดท้ายที่เป็นแชมป์ต้องย้อนไปถึงปี 2017 ดวลจุดโทษชนะ เบลารุส

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ จัดแข่งขันมาแล้ว 47 ครั้ง โดยไทยเป็นแชมป์มากสุด 15 สมัย คือ ปี 1976(แชมป์ร่วมกับมาเลเซีย), 1979, 1980(แชมป์ร่วมกับเกาหลีใต้), 1981, 1982, 1984, 1989, 1990, 1992 , 1994 , 2000, 2006, 2007, 2016, 2017)

3.กระแสฟุตบอลไทยฟีเวอร์+สนามแตก 

การกลับมาแข่งขันนี้ใช้สนาม 700 ปีเชียงใหม่ เป็นสังเวียนฟาดแข้งอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยแข่งที่นี่มาแล้วเมื่อ 9 ปีก่อน โดย คิงส์คัพ มีโอกาสออกไปแข่งขันต่างจังหวัดให้แฟนบอลภูธรได้สัมผัสกันมาแล้วหลายครั้งไม่ว่าจะเป็น สนามกีฬาสุระกุล จ.ภูเก็ต, สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา และล่าสุด ที่สนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์

เชื่อว่ากระแสฟุตบอลต่างจังหวัดคึกคักไม่แพ้ที่กรุงเทพมหานครแน่นอน เห็นได้จากเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติเติร์กเมนิสถาน ที่จัดจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แฟนบอลแห่เข้าชมจนล้นสนาม ล่าสุด อบจ.เชียงใหม่ ได้เปิดจำหน่ายตั๋วศึก คิงส์ คัพ ครั้งที่ 48 ที่ เซ็นทรัล แอร์พอร์ต จังหวัดเชียงใหม่ แฟนแห่จับจอง จำนวนมากจนต้องต่อคิวยาวเหยียด จนต้องเพิ่มโควตาจากเดิม 1 พัน เป็น 3 พันใบส่วนวันที่ 2 ในรูปแบบออนไลน์ 10 นาที ต้องปิดจองทางเพจ-เว็บล่ม หลังแฟนบอลแห่สนใจจำนวนมาก โดยบัตรราคา โซน W (มีหลังคา) ราคา 150 บาท นอกนั้น โซน S , E , N ราคา 100 บาท  

ชาติที่เข้าแข่งขันน่าสนใจประกอบด้วย ทีมชาติไทย (อันดับ 111 โลก) , มาเลเซีย (148 โลก), ทาจิกิสถาน (109 โลก) และ ตรินิแดดแอนด์โตเบโก (101 โลก) 

โปรแกรมการแข่งขัน

วันที่ 22 ก.ย. 2565 

17.30 น. ตรินิแดดฯ พบ ทาจิกิสถาน ถ่ายทอดสด AIS Play 

20.30 น.ไทย พบ มาเลเซีย เวลา 20.30 น. ถ่ายทอดสด ไทยรัฐ ทีวี ช่อง 32 และ AIS Play

เชื่อว่านัดแรกแฟนบอลไทยจะแห่เข้าไปชมจนสนามแตก ทั้งนี้ สถิติที่พบกัน 5 นัดหลังสุดทุกรายการ ไทย ไม่ชนะ มาเลเซีย แม้แต่เกมเดียว แบ่งเป็น เสมอ 2 แพ้ 3 หนล่าสุดที่ชนะต้องย้อนไปในปี 2014 ในศึกอาเซียน คัพ 2014 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก ด้วยสกอร์ 2-0

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง