บี บางปะกง
ของขวัญปีใหม่ของแฟนบอลชาวไทยทั้งชาติ มาอยู่ในกำมือของพวกเราสมใจปรารถนาแล้วล่ะครับ
กับตำแหน่งแชมป์เจ้าลูกหนังอาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูกิคัพ 2020” ที่พลพรรคช้างศึก ทีมชาติไทย คว้าอยู่ในอ้อมกอดได้อีกครั้งในรอบ 5 ปีเต็ม
ต้องยกเครดิตความสำเร็จครั้งนี้ให้กับ กุนซือ มาโน โพลกิง และ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมจอมทุ่มเท
ที่รีดเค้นศักยภาพและทำทุกวิถีทางให้ทีมบอลไทยก้าวไปถึงเป้าหมายสูงสุดอย่างที่ตัวเองควรจะเป็น
นี่คือจุดเดิมที่คู่ควรกับทีมช้างศึกอย่างแท้จริงครับ
เราเดินหลงทางไปนานหลายปี มัวแต่พรำ่เพ้อว่าจะ “ก้าวข้ามอาเซียน” อย่างโน้น อย่างนี้ ไม่เอาแล้วกับตำแหน่งแชมป์ถ้วยกระจอกงอกง่อย
สุดท้ายวันที่..ไม่มีมันขึ้นมา วันที่ตำแหน่ง “เบอร์1” ที่เคยได้ เคยเป็น เกิดตกไปอยู่กับชาติอื่น
แล้วทีนี้เป็นไงล่ะครับ? เจ็บปวดไหมล่ะหลายปีที่ผ่านมา กับการโดนเหยียบย่ำซำ้เติมสารพัด
กลายเป็นว่าแทนที่จะ ก้าวข้ามอาเซียน ดันมาโดนเพื่อนร่วมอาเซียนโดดข้ามหัวไปข้ามหัวมากันอย่างสนุกสนานกันซะนี่
ก็หวังว่านับจากนี้ เมื่อเราปีนกลับมายืนเป็น “เต้ย” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สำเร็จอีกครั้งแล้ว
ทีมชาติไทยของเรา จะต้องไม่ยอมถอยหลังกลับไปสู่จุด “วิกฤติ” อย่างที่เคยเจอมาอีกอย่างเด็ดขาด
ต่อไปนี้ แข้งช้างศึกต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และมั่นใจ โดยมีอนาคตสดใสรออยู่
เรื่องศักยภาพความยอดเยี่ยมของ “คุณภาพฝีเท้า” เราไม่เคยเป็นสองรองใครอยู่แล้วครับ
8 นัดที่ผ่านมา ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนถึงนัดชิง นักเตะไทย ผลัดกันคว้าตำแหน่ง “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” มาครองได้ถึง 7 เกม
เริ่มจากนัดแรก ที่เราประเดิมด้วยการเอาชนะ ติมอร์ เลสเต 2-0 “เจ้าต้น” นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม คว้า MOM ไปครองอย่างยอดเยี่ยม
ส่วนแมตช์ถล่ม เมียนมา 4-0 ตามด้วยเฆี่ยนชนะ ฟิลิปปินส์ 2-1 เป็น “เทพมุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ได้ไป พร้อมจารึกสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของศึกอาเซียนคัพ ที่จำนวน 19 ปะตู
ก่อนที่เกมส่งท้ายรอบแรก ที่เราคว้าชัยเหนือเจ้าภาพ สิงคโปร์ 2-0 แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จะตกเป็นของ ปวีร์ ตันฑะเตมีย์
ส่วนรอบรองฯ แมตช์แรก ที่ช้างศึกดับห้าว เวียดนาม แชมป์เก่า ไป 2-0 “กัปตันเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เหมายิงเบิ้ลดับเหงียนทั้ง 2 ลูก ได้ไปครอง
ขณะที่นัดสอง ซึ่งเจ๊า แข้งญวนโนสกอร์ 0-0 ก็เป็น “เจ้าเต้” พิธิวัตร สุขจิตรธรรมกุล ที่รับไป
และคนสุดท้ายที่ได้ MOM ในเกมนัดชิงชนะเลิศ เกมแรก ที่ทีมชาติไทย ระเบิดฟอร์มโหด ถล่ม อินโดนีเซีย 4-0 คือ “เจ้าเช็ค” สุภโชค สารชาติ
ซึ่งเมื่อจบทัวร์นาเมนต์ นักเตะไทยก็ยังได้ครอง 2 ตำแหน่งสำคัญ คือดาวซัลโวร่วม ระหว่าง ธีรศิลป์ กับ ชนาธิป ที่ซัดไปคนละ 4 ประตูเท่ากัน
รวมถึง “กัปตันเจ” ที่เล่นด้วยฟอร์มปรอทแตก จนได้ครอง MVP นักเตะยอดเยี่ยมเป็นสมัยที่ 3 อย่างไร้เทียมทาน
นั่นคือความสุดยอด ของแข้งไทยที่รวมกันแล้ว ออกมาเป็นตำแหน่งแชมป์ลูกหนังอาเซียน สมัย 6 อย่างที่เห็นกัน
แต่ถ้าให้เลือกสุดยอดนักเตะไทยแลนด์สักคนที่โชว์ฟอร์มได้อย่างเจ๋งเป้ง สม่ำเสมอ เข้าตากรรรมการ ตั้งแต่เกมแรกยันแมตช์สุดท้ายในศึกซูซูกิคัพหนนี้ล่ะก็
ผมเห็นเหมือนกับโค้ชมาโน โพลกิง นะครับ ว่าน่าจะเป็น “เจ้าและห์” กฤษดา กาแมน เซ็นเตอร์ดาวรุ่งจาก ชลบุรี เอฟซี
ที่ได้รับโอกาสยืนปักหลักเป็นตัวจริงในทีมชาติชุดใหญ่เป็นรายการแรก
ซึ่งเจ้าตัวไม่ทำให้มาโนต้องผิดหวัง เพราะเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง หนักแน่น และนิ่งสนิท ปานภูผาหิน ประดุจรับใช้ชาติมานานหลายปี
เป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจสุดๆ ของทีมฉลามชลยุคปัจจุบัน ที่ทำให้ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ กุนซือใหญ่ ถึงกับเดินยืดได้เลยกับฟอร์มของศิษย์รักคนนี้
โดย “มูรินโญ่เมืองไทย” เชื่อมั่นว่า “เจ้าและห์” กฤษดา จะพัฒนาฝีเท้าให้เก่งขึ้นไปกว่านี้ได้อีกอย่างแน่นอน ถ้าถูกปั้นให้เล่นในตำแหน่งกลางรับทั้งในทีมชาติและสโมสร
ซึ่งทาง ชลบุรี โดย “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานพัฒนาเทคนิค วางอนาคตให้เจ้าตัวโกอินเตอร์ออกไปค้าแข้งต่างแดนในลีกที่มีมาตรฐานสูงกว่าบ้านเรา อย่างในเจลีก ญี่ปุ่น หรือระดับ ลีกา 2 เยอรมัน โน่นเลย
เพื่อหวัง ยกระดับ อัพเกรด ให้ดาวโรจน์ของฉลามชลผู้นี้ กลายเป็นแข้ง “เกรดพรีเมียม” ที่เป็นอนาคตบอลไทย
จะได้มองไกลถึง “ฟุตบอลโลก” อย่างไม่ต้องละเมอ เพ้อฝัน เหมือนที่แล้วๆ มา !!!
- บี บางปะกง -