บี บางปะกง
ได้เห็นหน้าค่าตากันไปแล้ว สำหรับขุนพลนักเตะช้างศึก ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในยุคของกุนซือฝรั่งหัวใจไทย “มาโน โพลกิง”
ที่เฟ้นนักเตะเอาไว้เลือกใช้งาน 30 คน ที่เขาคิดว่าดีที่สุดของเมืองไทยในยุคนี้ และเหมาะสมที่สุดกับแท็กติกที่ตัวเองจะเลือกใช้ในทัวร์นาเมนต์ชิงเจ้าอาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2020”
อันที่จริงผมไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องการเรียกตัวนักเตะมาติดทีมชาติเท่าไรหรอกครับ
เพราะคิดว่าสไตล์ใครสไตล์มัน การทำทีมของโค้ชแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
ทุกคนที่เขาเลือกเข้ามาคงจะมีเหตุผลอยู่ในใจตัวเองแล้วว่าจะเลือกมาเป็นหมากตัวไหน อย่างไร?
ให้ทีมไปสู่เป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ คือการทวงตำแหน่ง “คิง ออฟ อาเซียน” กลับคืนมาให้ได้!!
ซึ่งถ้าทำสำเร็จ...ทุกอย่างคือจบ แต่ถ้าตรงกันข้าม เกิดพลาดท่าล้มเหลวขึ้นมา...
ก็คนเป็น “กุนซือ” นั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ อยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะฉะนั้นแฟนบอลอย่างเราๆ ท่านๆ วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ขอให้อยู่ในขอบเขต
พอถึงเวลาก็ทำหน้าที่ ‘กองเชียร์’ คอยให้กำลังใจ “ทีมชาติไทย” ของเราให้สุดลิ่มทิ่มประตูกันเหมือนเดิม...แค่นี้เป็นพอ
สำหรับ “มาโน โพลกิง” นี่อาจเป็นครั้งแรกในตำแหน่งเฮดโค้ชใหญ่ทีมช้างศึกสำหรับเขา
แต่ไม่ใช่หนแรกกับการทำงานให้ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เพราะถ้าใครจำกันได้เมื่อ 9 ปีก่อน ตอนที่เขามาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ
กุนซือหนุ่มอย่าง มาโน นี่แหละเคยรับบทผู้ช่วยสตาฟฟ์โค้ช ที่เปรียบเสมือน “มือขวา” ผู้รู้ใจของ โค้ช “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ ทำทีมบู๊ศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2012 มาแล้วครั้งนึง
โดยสถานการณ์ของทีมชาติยุคนั้นก็ไม่ต่างจากยุคนี้เท่าใดนัก
เพราะการเตรียมทีมมีเวลาจำกัด และโปรแกรมไทยลีกก็ไม่เอื้ออำนวยให้นักเตะได้ซ้อมกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่ควรจะเป็น
ซึ่ง 22 แข้งทีมชาติไทย ที่ “วินนี่” เลือกเฟ้นไว้บู๊ศึกซูซูกิคัพ 2012 ในตอนนั้น ประกอบไปด้วย
ผู้รักษาประตู : สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์
กองหลัง : ภานุพงศ์ วงศ์ษา, ปิยพล บรรเทา, อนุชา กิจพงษ์ศรี, ชลทิตย์ จันทคาม, ธีราทร บุญมาทัน, ประหยัด บุญญา, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, นิเวส ศิริวงศ์
กองกลาง : ดัสกร ทองเหลา, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, จักรพันธ์ พรใส, อดุล หละโสะ, อาทิตย์ สุนทรพิธ, อภิภู สุนทรพนาเวศ, ชนาธิป สรงกระสินธิ์, สุมัญญา ปุริสาย
กองหน้า : ธีรศิลป์ แดงดา, พิภพ อ่อนโม้, กีรติ เขียวสมบัติ, สมปอง สอเหลบ
พลพรรคช้างศึก โชว์ผลงานชนะรวดทั้ง 3 แมตช์ในรอบแรก (ชนะฟิลิปปินส์ 2-1, ชนะเมียนมา 4-0, ชนะเวียดนาม 3-1)
เข้าตัดเชือกเป็นที่ 1 สายเอ เจอกับ เสือเหลือง มาเลเซีย นัดแรกเราบุกไปเสมอ 1-1 ก่อนจะกลับมาเผด็จศึกในบ้าน 2-0 รวมผล 2 นัด ไทย ชนะ 3-1 ผ่านเข้าชิงกับ สิงคโปร์
โดยนัดชิงชนะเลิศ เราออกไปเสียท่าให้นักเตะแดนลอดช่องมาก่อน 1-3 จึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาเอาคืนให้ได้ 2 เม็ดที่สนามศุภชลาศัย
แต่เกมที่สองเทพีแห่งโชคไม่ยอมอยู่ข้างเรา แข้งช้างศึกทำได้ดีที่สุดแค่เฉือนชนะไปแค่ลูกเดียว
‘สิงคโปร์’ จึงคว้าแชมป์ลูกหนังอาเซียนไปครองอย่างน่าเจ็บใจเป็นที่สุด!!
เหตุการณ์อกหักทั้งสนามศุภฯ ของแฟนบอลชาวไทย ยังฝังแน่นในความทรงจำของผมที่ไปนั่งทำข่าวอยู่ในสนามวันนั้นด้วยอย่างมิรู้ลืมเลือน
เผลอแป๊บเดียว..จะหนึ่งทศวรรษแล้วหรือนี่ สำหรับหนแรกของ มาโน โพลกิง ในซูซูกิคัพ
ชะตาฟ้าลิขิตให้เขาเองได้กลับมายืนทำหน้าที่ให้ทีมชาติไทยอีกคำรบ ในศึกชิงเจ้าอาเซียนหนนี้
แตกต่างก็ตรงที่ตำแหน่งซึ่งเปลี่ยนไป จากผู้ช่วยโค้ชที่คอยยืนอยู่ข้างหลัง
มาเป็น “เฮดโค้ช” ที่ต้องก้าวมายืนแอ่นอกอยู่ด้านหน้า
ซึ่งการตัดตัว 30 ขุนพลชุดล่าแชมป์เอเอฟเอฟ ล่าสุดที่เพิ่งคลอดออกมา จะบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่รู้
เพราะเหลือขุนพล 4 คน จาก 4 ตำแหน่ง ที่เคยผ่านความผิดหวังจากปี 2012 ร่วมกันมา
ได้แก่ นายทวาร “เจ้าตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, แนวรับ “โก๋อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน, ห้องเครื่อง “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และกองหน้าตัวเก๋า “เทพมุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา
เปรียบเสมือนการ “รียูเนียน” ขุมกำลังช้างศึกในชุดนั้นให้คืนกลับมาอีกครั้งก็ไม่ปาน
ถือเป็นการเรียกความรู้สึกเดิมๆ...แต่หวังว่าบทสรุปสุดท้ายจะไม่ลงเอยแบบเดิม
เหมือน “ลูกพี่วินนี่” อีกนะจ๊ะ...เฮียโน่จ๋า!!!
- บี บางปะกง -