บี บางปะกง
วันก่อน..ผมนำเสนอบทความของ “พี่จิรัฏฐ์ จันทะเสน” นายกสมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย บนพื้นที่คอลัมภ์ “ตะลุยฟุตบอลโลก”ในกราวกีฬาไทยรัฐ
ที่เขียนถึงการใช้ ’ตราพระมหามงกุฎ’มาเป็นสัญลักษณ์ของทีมฟุตบอลชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆระดับนานาชาติ
เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดให้กับทีมช้างศึก ที่กำลังถูก WADA แบนห้ามใช้ธงไตรรงค์อยู่ ณ เวลานี้
ซึ่งตำนานของ “ตราพระมหามงกุฎ” กับ ‘ฟุตบอลไทย’ มีความเข้มขลัง และยิ่งใหญ่เพียงใด?
ลองอ่านเรื่องราวความเป็นมา...ทั้ง 2 ตอน ตั้งแต่ต้นจนจบนี้ดูนะครับ
แล้วท่านจะเข้าใจเอง !!!
ในตำนานแห่งประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังโลก คงมีเพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น ที่ได้รับเกียรติยศสูงสุดจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้นำตราประจำราชวงศ์มาติดเสื้อนักฟุตบอลทีมชาติ ซึ่งองค์พระประมุขของประเทศทรงถือว่า นักฟุตบอลเป็นผู้แทนของชาติ อันเปรียบเสมือนนักรบยามออกศึกสงครามเพื่อแผ่นดิน และหนึ่งในสองนั้น คือทีมชาติไทย
ทีมฟุตบอลชาติแรก ที่ได้รับเกียรติยศนำตราประจำพระองค์ของกษัตริย์ ใช้เป็นสัญญลักษณ์บนหน้าอกเสื้อเหล่าขุนพลนักเตะผู้แทนของประเทศ คือ “ทีมชาติอังกฤษ” เมื่อ สมเด็จพระราชินี ควีนส์ วิคตอเรีย (QUEEN VICTORIA) แห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการอนุญาตให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศอังกฤษ หรือ FA. (ก่อตั้ง ค.ศ. 1863) นำ “ตราสิงโตสามตัว” มาติดที่ชุดแข่งขันผู้เล่นแดนผู้ดี ใน ค.ศ. 1872 (ตรงกับ พ.ศ. 2415) เพื่อลงสนามฟุตบอลระดับชาติครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังโลก ระหว่าง ทีมชาติอังกฤษ กับ ทีมชาติสกอตแลนด์
จึงเป็นที่มาฉายา “สิงโตคำราม” จึงทำให้ FA. ของอังกฤษไม่เคยคิดหรือทำการเปลี่ยนแปลงตราดังกล่าว จนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 135 ปี
อนึ่ง สิงโตสามตัว หรือ “GULES THREE LIONS PASSANT GUARDANT” ถือเป็นตราประจำแผ่นดินของประเทศอังกฤษ โดย พระเจ้าเฮนรีที่ 2 ได้นำสิงโตตัวเดียวมาเป็นตราประจำพระองค์ ก่อนเป็นสมัยแรก ต่อมา พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 จึงเพิ่มสิงโตเป็นสามตัวดังกล่าวเช่นปัจจุบัน อันหมายถึงแผ่นดินอังกฤษ, นอร์มังดี และอากีแทน จนถึงสมัย พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 3 ได้ให้แบ่งตราออกเป็นสี่ส่วน และหนึ่งในสองส่วน คือ “สิงโตสามตัว” (อีกสองส่วนเป็นสัญญลักษณ์ฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ)
ภายหลังแห่งปฐมบท “ตราสิงโตคำราม” ของทีมชาติอังกฤษ อีก 43 ปีต่อมา “ทีมชาติไทย” หนึ่งในสองชาติที่มีตำนานสัญญลักษณ์ทรงเกียรติยศ จึงได้รับตราพระราชทานจากสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี สมัยดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเคยศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ
ดังนั้น ภายหลังขึ้นครองราชย์ จึงทรงมีพระราชดำริจัดตั้งทีมชาติชุดแรกของสยาม หรือเรียกกันทั่วไปว่า “คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม” และที่สำคัญ คือวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2458 ณ สนามสามัคยาจารย์สมาคม ภายในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “ตราพระมหามงกุฎ” ให้แก่นักเลงฟุตบอลทีมชาติสยามเพื่อเป็นเกียรติยศการรักชาติ ในการลงแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ (วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2458) คณะฟุตบอลสยาม กับ สปอร์ตคลับ นับเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมชาติไทย
โดยปรากฏจดหมายเหตุ คำกล่าวของ พระยาประสิทธิ์ศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) สภานายกคณะฟุตบอลแห่งสยามคนแรก (ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “เจ้าพระยารามราฆพ” เมื่อ พ.ศ. 2462) ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพ ฯ เดลิเมล์ ฉบับวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2458 ดังนี้ (ภาษาและตัวสะกดสมัยนั้น)
“...หมวก เครื่องหมายความสามารถฟุตบอลที่ท่านจะได้รับไปในเวลาอีกสักครู่นี้ ก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราพระมหามงกุฎ ซึ่งควรรู้สึกว่าเปนเกียรติยศการรักชาติ ย่อมจะแสดงได้หลายสถาน แต่การที่ท่านตั้งใจเข้าเล่นแข่งขันให้ถึงซึ่งไชยชนะให้แก่ชาติในคราวนี้ ก็เปนส่วนหนึ่งแห่งการรักชาติ...”
อนึ่ง “พระมหาพิชัยมงกุฎ” คือราชสิราภรณ์ ที่สร้างขึ้นเมื่อรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เรียกว่า “เบญจราชกกุธภัณฑ์” สำหรับพระมหากษัตริย์ไทย อันประกอบด้วย พระมหาเศวตฉัตร, พระมหาพิชัยมงกุฎ, พระแสงขรรค์ชัยศรี, ธารพระกร, วาลวิชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลักปฏิบัติแบบเดียวกับพระราชสำนักยุโรป โดยจะถือว่า “ภาวะแห่งความเป็นกษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎ” (ต่อตอนหน้า)
จิรัฏฐ์ จันทะเสน
สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย
- บี บางปะกง -