ไทยรัฐฉบับพิมพ์
“ทนายโบ้” นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ เปิดเผยว่า "บังยี" วรวีร์ มะกูดี อดีตประมุขลูกหนังไทย มีความสุขอย่างมากที่พ้นมลทินกรณีถูกฟ้องปลอมแปลงเอกสาร พร้อมกับเผยอีกว่า "บังยี" ยังไม่มีความจำเป็นต้องกลับมาทำงานในวงการลูกหนังหากส.บอลฯชุดใหม่ทำดีอยู่แล้ว...
เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา “ทนายโบ้” นรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย และอดีตประธานฝ่ายกฎหมายของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แถลงข่าวชี้แจงหลังศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาให้นายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ และนายองอาจ ก่อสินค้า อดีตเลขาธิการสมาคม ไม่มีความผิดที่ถูกฟ้องว่าปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม จนทำให้ก่อนหน้านี้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิด ต้องจำคุกคนละ 2 ปี
ขณะเดียวกัน เตรียมทำหนังสื่อพร้อมเอกสารจากศาลว่าคดีความเป็นที่สิ้นสุดแล้วภายใน 30 วันหลังจากนี้ เพื่อยื่นต่อคณะกรรมการจริยธรรมของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ “ฟีฟ่า” ชี้แจงถึงความบริสุทธิ์ให้กับ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ ที่ถูกฟีฟ่าแบนเป็นเวลา 5 ปี จากเหตุผลว่าทางอดีตนายกลูกหนัง ถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ลงโทษจำคุก ซึ่งตอนนี้ได้พิสูจน์ความชัดเจนแล้วว่าอดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริสุทธิ์
“ทนายโบ้” นรินทร์พงศ์ยังเผยอีกว่า หากทางฟีฟ่าปฏิเสธที่จะยกเลิกการตัดสินแบนให้กับนายวรวีร์ เราก็คงต้องดำเนินการตามขั้นตอน คือการฟ้องศาลกีฬาโลก เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไปและต่อข้อถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า หลังจากนี้ทางอดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯหลังพ้นผิดแล้วจะกลับมาทำงานในวงการลูกหนังอีกหรือไม่ ทางทนายนรินทร์พงศ์ได้กล่าวว่า “ทางคุณวรวีร์เอ่ยกับผมว่าหลังทราบผลการตัดสินว่าบริสุทธิ์ เป็นวันที่ตัวเขาเองมีความสุขอย่างมาก และถ้าวันนี้ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯชุดใหม่ทำดีอยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องลงมาอีก เพราะที่ผ่านมาได้วางรากฐานเรื่องของฟุตบอลมายาวนานแล้ว จึงขอสนับสนุนให้คนทำดีทำต่อไป แต่หากทำไม่ดีถึงเวลาจะเลือกตั้ง สังคมฟุตบอลก็จะเรียกร้องเองว่าใครควรจะมาบริหารสมาคม”
ทางด้าน “เสี่ยหม่อง” ณฐภณ ปัญญาคนานุกูล ประธานสโมสรพัทยา เอฟซี ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงการถอนฟ้องคดีให้กับอดีตนายกวรวีร์ และ “บิ๊กเปี๊ยก” องอาจ ก่อสินค้า ในช่วงก่อนหน้านี้ว่า เป็นการตัดสินใจของตัวเอง ไม่มีใครมาชักนำ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด “บังยี” ไม่ได้เจตนา และกรมการปกครองเป็นผู้แนะนำให้แก้ข้อความจริงเพื่อจะดำเนินการจดทะเบียนให้ทัน ที่สำคัญเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนฟุตบอลด้วยกันที่รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และคงไม่มีใครที่คิดจะทำร้ายใครจนถึงขั้นติดคุกติดตะราง
“ผมว่าเรื่องของคุณวรวีร์ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เพราะเจ้าตัวไม่ได้เจตนาทำผิด ที่แย่กว่าคือคนที่ฉวยประโยชน์จากการชนะคดีนี้แล้วได้ขึ้นไปมีอำนาจต่างหาก หนำซ้ำยังกระทำตัวเป็นพวกเสร็จนา ฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล บรรลุเป้าหมายตัวเองแล้วถีบหัวเขาทิ้งแบบไม่ไยดีคนที่ร่วมต่อสู้กันมา เชื่อไหมก่อนหน้านี้ผมโดนผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯชุดที่แล้วฟ้องหมิ่นประมาทอยู่ 2 คดี ผมต้องต่อสู้อยู่คนเดียวไม่มีใครมาช่วยอะไรเลย” เสี่ยหม่อง ระบายให้ผู้สื่อข่าวฟังอย่างหมดเปลือก
นอกจากนี้ ประธานสโมสรพัทยา เอฟซี ยังกล่าวอีกว่า เคสของคุณวรวีร์นี่ก็เหมือนกัน พอศาลอุทธรณ์ตัดสินอย่างนี้ ก็มีคนไปยุผู้ใหญ่กล่าวหาว่า ตนรับเงิน 3 ล้านเพื่อถอนฟ้อง ซึ่งตรงนี้ตนขอท้า คนที่ให้ร้ายว่ากล้าไปสาบานที่วัดพระแก้วด้วยกันหรือเปล่า และถ้าจากนี้มีใครให้ร้ายตนในเรื่องนี้อีกก็เตรียมโดนฟ้องหมิ่นประมาทจนถึงที่สุดกันได้เลย
ในตอนท้าย “เสี่ยหม่อง” ยังกล่าวถึงการประชุมใหญ่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯในวันที่ 28 เม.ย.นี้ที่สโมสรตำรวจ ซึ่งจะมีการอภิปรายซักฟอกผู้บริหารสมาคมฯข้อหากระทำผิดข้อบังคับมากมายว่า “ผมอยากเรียกร้องให้ทีมสโมสรในลีกรากหญ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะสโมสรในฟุตบอลถ้วย ข ค ง ให้ไปช่วยกันต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่ทุกคนต้องสูญเสียไป เพราะการบริหารงานอันเป็นเผด็จการของผู้บริหารยุคนี้ ใครอยากพูดปัญหาอะไรกับนายกสมยศและสภากรรมการ ให้ไปพูดกันต่อหน้าไปเลย เพราะนี่อาจเป็นครั้งเดียวที่เราจะได้พูด ถ้าไม่พูดคราวนี้อาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว”