หน้าแรกแกลเลอรี่

ใคร (ไม่) อายบ้าง

เบี้ยหงาย

14 ต.ค. 2566 05:17 น.

เป็นวันแห่งความมืดมนของลูกหนังไทย โดยเฉพาะ “ทีมชาติไทย” อีกครั้งกับการพ่ายแพ้ต่อจอร์เจียอย่างย่อยยับ 0-8 ในแมตช์อุ่นเครื่องฟีฟ่าเดย์เมื่อวันวาน ซึ่งเป็นการออกไปเตะนอกบ้านที่มีการรับรู้ล่วงหน้ามายาวนาน และเป็นการยกอ้างด้วยความภาคภูมิอยู่เสมอถึงการยกระดับที่ได้ไปเล่นในลักษณะ “ทัวร์ยุโรป” เสียด้วย

ทั้งเป็นแมตช์ทางการในการเตรียมทีมสู้การคัดฟุตบอลโลกโซนเอเชียของทีมชาติไทยของเราๆท่านๆที่เกิดเป็นคนไทยทั้งแผ่นดิน ที่ไม่เลือกชนชั้น ไม่เลือกสถานภาพทางสังคมเช่นไร

นี่จึงเป็นภาพลักษณ์ เป็นเกียรติภูมิของ ประเทศชาติและประชาชนคนไทยที่มี “ฟุตบอล” เป็นสื่อ

การพ่ายแพ้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ อับอาย อดสู ยิ่งเป็นฟุตบอล เป็นกีฬา ถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ยอมรับอยู่แล้ว

การพ่ายแพ้ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หรือไม่ได้ตัวชี้นิ้วถึงอนาคต ที่ต้องจมปลัก ดักดาน อยู่กับการแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเมื่อยังไม่ดับสลาย ทุกสิ่งอย่างต้องขยับเขยื้อนก้าวต่อ เดินไปบนความฝัน วาดหวัง และปรารถนาถึงสิ่งที่ดีกว่าในวันต่อๆไป

แต่การพ่ายแพ้ที่มาจากอดีตซึ่งส่งผ่านมายังปัจจุบันอย่างรู้กำหนดการ มีโอกาสเตรียมการ เตรียมตัว “ล่วงหน้า” ทั้งเป็นการ “ล่วงหน้า” ที่มีระยะเวลายาวนานพอควร ไม่ใช่เรื่องปุ๊บปั๊บ ยังปล่อยให้เกิดสภาพเช่นนี้

ต้องมีคนรับผิดชอบ!

นี่ยังไม่นับถึงความรู้สึกของจอร์เจีย แฟนบอลของเขาและของเราที่ติดตามเกม ซึ่งต้องผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ให้ความสำคัญของเรา อย่างไร้สำนึก และขาดความรับผิดชอบ

ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ทีม ไม่ใช่นักเตะ หรือกระทั่งโค้ช ก็เนื่องจากเรารับรู้กันมาตลอดถึงผู้เล่นชุดนี้ ไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด มีการใช้นักเตะใหม่ๆมากมาย เท่าที่มีอยู่และหาได้ในสถานการณ์ที่ สโมสรไม่ปล่อยตัว สมาคมกีฬาฟุตบอลฯก็ไม่ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอะไรให้กับทีมมากนัก

ไม่เท่านั้น พลันที่แพ้เละเทะ คนของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อย่าง กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานบริหาร บ.ไทยลีก ก็ได้ออกมาโพสต์ทันที โดยตอนหนึ่งระบุว่า ความเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ไม่ใช่ “สู้ไม่ได้” แต่เพราะ “ไม่ได้เตรียมจะสู้” ต่างหาก ไม่ใช่เรื่องของผลลัพธ์ แต่เป็นเรื่องของวิธีการ ว่าเราจัดการกับทีม (ของ) ชาติไทยอย่างไร?

เชื่อว่าคนที่อยู่ในวงการลูกหนังและสนใจข่าวคราว คงได้อ่านข้อความที่โพสต์เต็มๆไปแล้ว ส่วนจะตีความอย่างไรก็แล้วแต่จะคิดกัน

แต่ประเด็นที่น่าสนใจอาจไม่ใช่ความหมายของการสื่อความ น่าประหลาดใจตรงเป็นโพสต์ของผู้ที่รับรู้และอยู่ในวง ทั้งในส่วนของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯยุค “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก็เคียงข้างกันมาแต่ต้น หรือรวมทั้งในฝั่งของ บ.ไทยลีก ก็นั่งหัวโต๊ะ พูดคุยวางโปรแกรมลีกกับสโมสรสมาชิกตลอด ถือเป็นคน “วงใน” เสมอมา!!!

ย่อมเป็นผู้ที่รับรู้ รู้เห็น มาโดยตลอด ส่วนรู้แล้วอย่างไร เอออวย เห็นด้วย หรือทักท้วง เสนอแนะ อะไรหรือไม่ แล้วหากท้วง และทัก แล้วไม่เกิดผลอะไร ก็ปล่อยผ่านนั่งยิ้มมองตากันต่อไปจนพ้นเดือน ก.พ.นั้นหรือ

ก็ไม่รู้ว่านายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ซึ่งก็ต้องเปรียบเป็นลูกพี่ของท่านกรวีร์ จะคิดเห็นเป็นประการใด

ฟุตบอลชาติไทยจมปลักอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร ใครรับผิดชอบและรับผิดชอบกันอย่างไร

มีใครอายบ้างรึเปล่า หรือควรต้องถามว่ามีใครไม่อายกันบ้างหรือไม่...

“เบี้ยหงาย”

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่