หน้าแรกแกลเลอรี่

บอลไทย (ไป) บอลโลก

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

27 พ.ย. 2565 04:30 น.

เรียนคุณโจโจ้ซัง ในระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา คอกีฬามักจะมีคำถามหรือโจทย์เพื่อโยนหินถามทางให้เห็นและได้ฟังกันอยู่บ่อยครั้งว่า “คราใดบอลไทยจะได้ไปบอลโลก”

จากคำถามดังกล่าวกลับมีคำตอบออกมาจากกูรูหรือเซียนผู้หยั่งรู้ในมิติที่หลากหลาย อาทิ ถ้าเป็นคำตอบที่สร้างสรรค์สักหน่อยก็จะตอบว่าคงรออีกไม่นาน (ขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์)

แต่ในขณะเดียวกันเสียงที่พรั่งพรูหรือคำตอบในลักษณะเย้ยหยันก็ตามมาให้เจ็บกระดองใจก็มีไม่น้อยเช่น “ชาติหน้าตอนบ่ายๆ” ก็มีมาอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนว่าเสียงนั้นอาจจะเป็นจริงก็เป็นได้

จากประเด็นที่กล่าวมาหรือโจทย์ที่ว่าบอลไทยจะมีโอกาสได้ไปโลกเหมือนชาติอื่นบ้างหรือไม่เชื่อว่าในมิตินี้ผู้ที่จะต้องตอบคำถามเบื้องต้นก็คงเป็น “สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย”

อย่างไรก็ตาม หากถามต่อไปอีกว่า แล้ววันนี้สมาคมกีฬาลูกหนังภายใต้สภากรรมการและผู้ที่ขันอาสาเข้ามาสำหรับพัฒนาและยกระดับบอลไทยมีแผนและยุทธศาสตร์ที่จะตอบสังคมหรือไม่ อันนี้เชื่อว่าเราๆในฐานะคนนอกไม่อาจจะไปก้าวล่วงหรือคาดคั้นคำตอบได้

ซึ่งหากส่องไปที่สมาคมกีฬาแห่งนี้ต้องยอมรับว่าวันนี้มีโจทย์ที่แฟนลูกหนังฝากการบ้านหรือ ความคาดหวังเอาไว้เยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับบอลลีกหรือบอลอาชีพให้ทัดเทียมและได้มาตรฐานสากล รวมทั้งกำหนดแผนยุทธศาสตร์

สำหรับบ่มเพาะให้ขุนศึกทีมชาติไทยต่อกรกับชาติต่างๆได้อย่างมีคุณภาพและอื่นๆอีกหลากหลายที่สมาคมต้องเดินหน้าต่อ

อันที่จริงถ้าจะถามว่าไทยเรามีแผนต่อเรื่องนี้หรือไม่อย่างไร ถ้าผู้ที่สนใจและเกาะติดกับวงการบอลไทยอย่างต่อเนื่องจะเห็นได้ว่าในหลายๆครั้งผู้เกี่ยวข้องมักจะแจ้งต่อสาธารณะว่ามีแผนและกำลัง (กำลังๆๆ) ดำเนินการ

เมื่อกล่าวถึงการยกระดับวงการกีฬาไทยในชนิดต่างๆให้ก้าวไกลสู่มาตรฐานสากลดังชาติที่ก้าวผ่านกับดักหรือทลายกำแพงแห่งขวากหนามไปได้ก่อนหน้านี้นั้นต้องยอมรับว่ากว่าเขาจะไปถึงเป้าหมาย คงจะต้องอาศัยการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯภายใต้การผนึกพลังร่วมของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยมีภาคเอกชนคอยเป็นกองหนุน

วันนี้ประเทศไทยมีรูปแบบการพัฒนาดังที่รัฐบาลประกาศแผนงานหรือยุทธศาสตร์ออกมาอย่างหลากหลาย ซึ่งแผนนั้นๆสามารถนำมาบูรณาการเพื่อพัฒนาและยกระดับการกีฬาของชาติได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 รวมทั้งแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติที่เปลี่ยนผ่านจากฉบับที่ 6 สู่ฉบับที่ 7

เมื่อกล่าวถึงการพัฒนาวงการกีฬาโดยเฉพาะการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อนำทีมลูกหนังไปสู่ฟุตบอลโลกนั้น เมื่อมองบ้านเราแล้วก็ต้องมองบ้านเขาโดยเฉพาะชาติต่างๆในเอเชีย (ขอมองข้ามญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ไปไกลมานานแล้ว) เริ่มจากชาติมหาอำนาจอย่างมังกรจีนที่ผู้นำอย่าง “สี จิ้นผิง” เคยประกาศว่าอีกไม่นานทีมฟุตบอลของเขาจะต้องยืนหนึ่งหรือคว้าแชมป์บอลโลกให้ได้หลังจากที่เคยไปโลดแล่นอวดศักดาเพลงเตะในฟุตบอลโลก 2002 มาแล้ว

ขณะที่เวียดนามซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านในอาเซียนที่ระยะหลังเมื่อมีเกมการแข่งขันในรายการต่างๆ หากขุนพลนักเตะเขาลงสนามดวลกับช้างศึกไทยไม่ว่าชุดไหนผลนักเตะสกุลเหงียนคว้าชัยเหนือไทยเราเกือบทุกจะรายการ

ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้องค์กรภาครัฐและหน่วยงานที่รับผิดชอบกำหนดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง

ซึ่งเชื่อว่าจากนี้ไปหากทุกภาคส่วนผนึกพลังร่วมด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน คำกล่าวที่ว่า “ชาติหน้าตอนบ่ายๆบอลไทยจะไปบอลโลก” คงจะไม่มีให้เห็นอีกต่อไป

รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร

ooooooo

ผมเห็นด้วยทุกประการว่าทุกสิ่งอย่างต้องลงมือกระทำด้วยความจริงใจและจริงจัง ไม่ใช่ดีแต่พูดไปวันๆ หรือสักแต่พูดโดยไม่คิด

ยิ่งเราได้เห็นชาติในเอเชียไม่ว่าญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงอิหร่าน ที่หักปากกาเซียนล้มยักษ์อย่างเยอรมนี อาร์เจนตินา รวมถึงเวลส์ ขณะที่ เกาหลีใต้เสมอกับอุรุกวัย ก็ถือว่าไม่ธรรมดา นั่นแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของวงการลูกหนังในแต่ละชาติว่ามีมากขึ้นแค่ไหน

แต่เมื่อกลับมามองที่ช้างศึก ไม่ใช่ว่าจะดูถูกเพียงแต่อดน้อยใจไม่ได้ว่านักฟุตบอลไทยจริงๆแล้วหลายคนก็มีความสามารถ อย่าง “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, “เจ้าเช็ค” สุภโชค สารชาติ ที่กำลังค้าแข้งที่ญี่ปุ่น รวมถึงก่อนหน้านี้ “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน และ “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ก็เคยไปเล่นในลีกญี่ปุ่นมาแล้ว

หากสมาคมมีการบริหารจัดการอย่างจริงจังที่สำคัญต้องรักในกีฬาชนิดนั้นอย่างเต็มร้อยเชื่อว่าโอกาสที่เด็กไทยจะก้าวไปไกลกว่านี้เป็นไปได้แน่รวมถึงฝันที่จะไปบอลโลกสักครั้งย่อมเกิดขึ้นได้

แต่ถ้าบริหารแบบเช้าชามเย็นชามเหมือนตอนนี้เชื่อว่าน่าจะเป็น “ฝันเปียก” หรือควักกระเป๋าซื้อตั๋วไปชมฟุตบอลโลกน่าจะง่ายกว่า

“ใครไม่เชื่อแต่ผมเชื่อ” ครับ.

โจโจ้ซัง