หน้าแรกแกลเลอรี่

เหงาและวังเวง

เบี้ยหงาย

24 ส.ค. 2565 05:03 น.

พลันที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ โดย “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคม ได้ประกาศเป้าหมาย ความหวังหรือความฝันก็ตาม ที่หมายมั่นปั้นมือจะทำทีมไทยไปฟุตบอลโลกในปี 2026 ซึ่งครั้งนั้น โซนเอเชีย หรือเอเอฟซี ได้โควตามากเป็นประวัติการณ์ 8 ทีมครึ่ง

ไม่แค่บอลโลกยังจะแวะไปโอลิมปิก ปารีส 2024 ด้วย ซึ่งเอเชียก็มีโควตามากขึ้นเช่นกัน

โดยวางกฎจะพัฒนาลูกหนังไทยด้วยการใช้ทีมเยาวชน ต่อไปนี้จะใช้นักเตะตรงรุ่น ตรงอายุ ไม่เอาอายุเกินไปแต่อย่างไร สานต่อนโยบายก้าวข้ามอาเซียนเพื่อไปสู่ระดับที่สูงกว่าอย่างเต็มตัว พร้อมแอ่นอกขอรับผิดชอบเอง หากกระแสการใช้ทีมเด็กไม่ถูกใจแฟนบอล ทั้งมอบหมายให้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ รับหน้าที่ ผจก.ทีมทั้งชุดใหญ่ และ 23 ปี ต่อไป

จริงๆก็น่าจะมีบรรยากาศของความคึกคัก เมื่อจุดแล้วก็ต้องปลุกกระแส ปลุกเร้าให้เกิดความมุ่งมั่น และสร้างความหวังแก่แฟนบอลทั้งประเทศ ซึ่งดู เหมือนจะเป็นความชัดเจนครั้งแรกนับแต่ท่านได้เข้ามารับผิดชอบกับกีฬาฟุตบอลกว่า 6 ปีก็ว่าได้

แต่หลังประกาศไม่ทันไร กลับมีประเด็นแปลกๆ สวนออกมา เมื่อ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งใครๆก็รู้ ใครๆก็ทราบดี ว่าเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญ ที่ทำให้บิ๊กอ๊อดขึ้นมาเป็นผู้นำของลูกหนังไทยเช่นทุกวันนี้

โดยออกมาเปิดเผยว่า ได้มีการแจ้งกับนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แล้วว่า ต่อไปนี้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะไม่ส่งผู้เล่นที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ไปร่วมแคมป์ทีมชาติไทยอีก เพราะที่ผ่านมาทีมเราได้ปล่อยนักเตะเยาวชนเหล่านี้ไปร่วมทีมชาติ พอกลับมาแคมป์บุรีรัมย์แล้วขาดวินัย ทั้งที่ตอนที่อยู่กับเรามีวินัยดี แต่พอไปทีมชาติไปเจอเพื่อนมากมาย ที่มาจากหลายสโมสร หลายโรงเรียน ทำให้วินัยหายไป

นั่นทำให้สมาคมฟุตบอลมีการเรียกประชุมทีมงานผู้ฝึกสอนทั้งทีม 16 และ 19 ปี พร้อมทั้งเผยแพร่ถึงกฎระเบียบต่างๆที่วางไว้ให้เด็กปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และก็ยอมรับว่าเป็นสิทธิ์ของสโมสร ด้วยทีมอายุต่ำกว่า 23 ปี ไม่มีกฎจากฟีฟ่าคุ้มครอง บังคับให้ทีมปล่อยตัวมาร่วมทีมชาติไม่ได้ พล.ต.อ.สมยศระบุว่า “ระบบทีมชาติหลังจากนี้จะดีหรือไม่ดี มันไม่ได้อยู่ที่สมาคมเพียงอย่างเดียว มันอยู่ที่สโมสรว่าจะให้ความร่วมมือได้มากแค่ไหนด้วย”

ในเวลาไล่เลี่ยกัน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ก็ได้ประกาศขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการทีม 23 ปี แต่ยังคงทำหน้าที่ ผจก.ทีมชาติชุดใหญ่ต่อไป

เมื่อดูถึงจังหวะเวลา และองค์ประกอบในแง่ความสัมพันธ์ เป็นคนใกล้ตัว เป็นเงาทะมึนที่ค้ำชู โอบอุ้มมาโดยตลอด รวมถึงมุมของคนที่ใช้งานมอบความรับผิดชอบ กลับมีประเด็นเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ บรรยากาศดูเงียบๆเหงาๆ แบบแปลกๆ

ยิ่งถ้ามองถึงคนรอบๆกาย ก็ยิ่งเห็นถึงความโดดเดี่ยว ไร้พลัง ถ้าไม่นับทีมงานที่จ้างจากต่างชาติ หนึ่งคือเลขา สองคือคนดูเรื่องไทยลีก คนฟุตบอลจริงๆมีอยู่น้อยนิด ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดความหวังว่าจะนำมาซึ่งความสำเร็จได้เลย

บอลไทยจะไปบอลโลก 2026 พ่วงไปโอลิมปิก 2024 ไม่มีราคา ไม่ขลังอีกแล้วหรือ ทำไมมันวังเวงเช่นนี้...

“เบี้ยหงาย”