บี บางปะกง
บินไปปักหลักที่แดนเหงียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับขุนพลนักเตะทีมชาติไทยชุดบู๊ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม
แข้งช้างศึก ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ มาโน โพลกิง จะลงประเดิมสนามนัดแรก พบกับ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ในค่ำวันเสาร์ที่ 7 พ.ค.นี้ โดย PPTV HD ช่อง 36 จะถ่ายทอดสดให้ชมกัน ในเวลาหนึ่งทุ่มตรง
ต้องยอมรับว่า ซีเกมส์เวอร์ชันญวนในครั้งนี้ โอกาสที่จะครองเจ้าเหรียญทองของทัพนักกีฬาไทยเรามีน้อยเหลือเกินครับ เพราะบรรยากาศทุกอย่างเป็นใจให้เจ้าภาพไปซะหมด
โดยเฉพาะ “ฟุตบอลชาย” ซึ่งนักเตะไทย มีเวลาเตรียมทีมค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับเจ้าถิ่นและคู่แข่งชาติอื่นๆ ดังนั้น ภารกิจล่าทองลูกหนังเที่ยวนี้ จึงถือเป็นงานหนักอึ้งของผู้จัดการทีมหญิงเหล็ก “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ที่พยายามจัดการทุกอย่างหน้างานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซึ่งเมื่อพูดถึงฟุตบอลในซีเกมส์แล้ว ลิ้นชักแห่ง ความทรงจำของผมก็เริ่มทำงานทันทีกับ มหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 20 ที่กรุงฮานอย เวียดนาม ได้เป็นเจ้าภาพครั้งแรก เมื่อปี 2003 หรือ 19 ปีที่แล้ว
ถือเป็นซีเกมส์ที่กระจอกข่าวอย่างผมและเพื่อนๆสื่อที่ไปตะลุยสมรภูมิในยุคนั้น ประทับใจที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นอีกครั้งที่เรา คว้าเหรียญทองฟุตบอลชายมาครองได้ ท่ามกลางความกดดันมหาศาลของกองเชียร์เจ้าถิ่นทั้งในและนอกสนาม
จำได้ว่าทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ครั้งนั้น คุมทีม โดยกุนซือบราซิลผู้เป็นตำนาน “คาร์ลอส โรเบอร์โต คาร์วัลโญ” และมี “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมคอยกำกับทัพอย่างใกล้ชิด
ตอนแรกการทำงานระหว่างโค้ชคาร์ลอสกับสตาฟฟ์ชาวไทยดูไม่ค่อยราบรื่นนัก จนทีมหวิด จะมีเรื่องราวดราม่าตั้งแต่รอบแรกๆ
แต่ด้วยศิลปะการดูแลทีมแบบใจถึงใจ ยากจะหาใครเสมอเหมือนของ “บิ๊กก๊อง” ทำให้ ปัญหาต่างๆคลี่คลาย นักเตะแต่ละคนเปิดใจทุ่มเทเล่นเพื่อชาติ จนในที่สุดก็พาทีมไทยมาถึงรอบชิงชนะเลิศจนได้
และแน่นอนเป็นการชิงดำกับ เจ้าภาพ เวียดนาม ที่หมายมั่นปั้นมือจะกระชากเหรียญทอง จากทีมชาติไทยแชมป์เก่าให้ได้ โดยมีแฟนบอลเหงียน ที่แห่ยัดทะนานกันเข้ามาเชียร์ทีมชาติของตัวเองชนิดสนามมีดิงห์ สเตเดียม ล้นทะลักหลายหมื่นชีวิต
เกมวันนั้นพวกเรานักข่าวไทยทั้งหมดรวมตัวกันนั่งเชียร์อยู่มุมแคบๆของห้องเพรส โดยทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพราะเกรงใจสื่อเจ้าภาพที่แห่มาทำข่าวอย่างแน่นขนัด
ครึ่งแรก เป็นนักเตะไทยที่ซัลโวขึ้นนำไปก่อน ใน น.37 จาก “โจ้ห้าหลา” ศรายุทธ ชัยคำดี ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในทัวร์นาเมนต์นี้
ก่อนที่ครึ่งหลังเวียดนามจะสู้ยิบตา และตีเสมอสำเร็จในช่วงทดเจ็บ น.90+1 เล่นเอากองเชียร์ ดีใจสนามแทบแตก
ซึ่งตอนนั้นพวกเราสื่อไทยใจหล่นไปที่ตาตุ่ม คิดเลยว่าต่อเวลาพิเศษออกไปแข้งไทยน่าจะเอาไม่อยู่ เพราะโมเมนตัมมันเทไปทางฝั่งเจ้าถิ่นหมดแล้ว
ที่ไหนได้พอเสียงนกหวีดช่วงต่อเวลาดังขึ้น ทีมชาติไทยใช้ประสบการณ์และพละกำลังที่มีเหนือ กว่าบุกกดดันแข้งเหงียนบ้าง จน น.96 “เจ้าโอ๊ต” ณัฐพร พันธ์ฤทธิ์ ก็กลายเป็นฮีโร่ ตะบันบอลตูมเดียวจากนอกกรอบเขตโทษเข้าไปตุงตาข่ายอย่างเฉียบขาด
เป็นประตูชัย “โกลเดนโกล” ที่ทำให้นักเตะไทยกระชากเหรียญทองซีเกมส์กลับบ้านได้อีกสมัย
และทองนี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า “ทองเท่ากระด้ง” ที่แฟนบอลชาวไทยยุคนั้น
จำติดตา...มิรู้ลืม!!!
บี บางปะกง