หน้าแรกแกลเลอรี่

เดาได้เลย

เบี้ยหงาย

16 ก.ย. 2564 05:13 น.

ฟุตบอลทีมชาติไทยตอนนี้ ดูไปแล้วสถานการณ์เหมือนเป็นจังหวะเวลาให้เกิดภาวะของการลืมๆ เลือนๆ กับความล้มเหลวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความตั้งใจ หรือเจตนา เป็นประเด็นสำคัญแต่ประการเดียว แต่ด้วยสภาพความเป็นจริงที่ทีมชาติชุดใหญ่ไม่มีแมตช์ให้แข่งขันแต่อย่างไร

ที่จะมีแข่งก็เป็นส่วนของฟุตบอลหญิง และ ฟุตบอลชาย ในระดับอายุไม่เกิน 23 ปี เท่านั้น

นอกจากเวลาที่จะทำให้ความผิดหวังคลี่คลาย ขณะเดียวกันก็มีการขยับเดินหมากเพื่อสร้างความหวังในวงรอบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการมาของผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ทรงพลังอย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ซึ่งด้วยบริบท หรือศักยภาพส่วนตัว ก็ค่อยๆก่อให้เกิดความรู้สึกที่ทีมฟุตบอลชาติไทย เข้ามาผูกใกล้อยู่กับผู้จัดการทีมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ขยับห่างจากที่เคยแปะติดอยู่กับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ โดยเฉพาะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯไปทุกที

ยิ่งหากได้ตัว “เฮดโค้ช” คนใหม่ ตัวจริง ตามที่ผู้จัดการทีมชาติเสนอ นัยว่าจะมีการประกาศกันในไม่ช้านี้ ความรู้สึกดังกล่าว ก็จะยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ

แน่นอนเมื่อเป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” ก็ย่อมมีทั้งบวกและลบ จนเมื่อผลอันเป็นที่ประจักษ์ออกมาจริงนั่นแหละ ก็จะรับรู้กันเองว่าความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร

ทีมชาติไทยชุดใหญ่ มีโปรแกรมจะแข่งขันในรายการที่ใกล้ที่สุด ก็เป็น ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือ ฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพซึ่งเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีที่สูงมาก แม้ว่าจะเป็นเพียงระดับอาเซียนเท่านั้น โดยตามคิวที่กำหนดกันไว้ จะเตะกันช่วงระหว่างวันที่ 5 ธ.ค.2564 ถึงวันที่ 1 ม.ค.2565

เดิมฟุตบอลซูซูกิคัพ จัดในรูปแบบเหย้า-เยือน แต่ด้วยการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ทำให้มีปัญหาเรื่องการเดินทาง การกักตัว สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน หรือเอเอฟเอฟ จึงปรับให้จัดรูปแบบมีประเทศเจ้าภาพกลาง ซึ่งทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และผู้จัดการทีมชาติไทย ก็เห็นตรงกันที่อยากจะดึงมาจัดในเมืองไทย

แน่นอนรายการนี้แฟนบอลชาวไทยอยากดู หากไทยเราได้เป็นเจ้าภาพย่อมได้เปรียบ และนับเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม จากนี้ไปเหลือเวลาอีกราวๆ 3 เดือน กับการเตรียมตัวในวงรอบใหม่ ภายใต้การทำทีมใหม่ ถือว่าเพียงพอที่จะใช้เป็นจุดเปลี่ยน หรือจะเรียกจุดกลับตัว เพื่อสร้างศรัทธาใหม่ก็ว่าได้

โดยทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ได้เสนอเรื่องผ่านการกีฬาแห่งประเทศไทย ไปแล้ว เพื่อขอการสนับสนุน ซึ่งหากจะจัดภาครัฐต้องเห็นชอบและให้การรับรองเพื่อแจ้งไปยัง “เอเอฟเอฟ” ด้วยต้องใช้งบประมาณสูงไม่น้อย ประเมินกันไว้ว่าในสภาพการจัดที่ต้องมีมาตรการเข้มงวดกับเรื่อง “โควิด-19” จะใช้เงินราวๆ 120-150 ล้านบาท

แม้ว่าไทยเราไม่ใช่ประเทศร่ำรวย ถ้ามองถึงเหตุผลที่จะหยิบยกขึ้นมาสนับสนุน กับเม็ดเงินที่ต้องจับจ่าย เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยากในการพิจารณา และอธิบายความ แถมเรื่องอย่างนี้ “ไทยแลนด์” ชอบ!

ส่วนเสนอตัวแล้ว ได้จัดหรือไม่ หรือได้แล้วพอถึงเวลาพี่โควิดยังอาละวาดหนักจนปั่นป่วน ก็เป็นเรื่องในวันข้างหน้า

แต่วันนี้ นาทีนี้ ลองเดากันดูว่า รัฐบาลจะสนับสนุนหรือไม่...มีคำตอบกันอยู่แล้วล่ะ.

“เบี้ยหงาย”