จอน บอลไทย
จักรพันธ์ พรใส เกิดเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ที่ จ.หนองคาย ภายใต้ครอบครัวที่มีคุณพ่อรับราชการ ทำงานกับหน่วยงานพัฒนาชุมชน ที่ อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย หรือ จ.บึงกาฬ ในปัจจุบัน โดยมีคุณแม่เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกชาย นั่นคือ จักรพันธ์ และน้องสาวที่อายุห่างกัน 7 ปี
เขามีชื่อเล่นว่า “บอล” เหมือนครอบครัวจะรู้ว่า นี่เป็นชื่อเล่นที่เหมาะสมกับเจ้าตัวที่สุดแล้ว
บอล เรียนที่โรงเรียนอนุบาลศรีวิไล จนถึง ป.2 ก่อนย้ายมาเรียนที่โรงเรียนชุมชนบ้านโคกอุดม ที่ อ.พรเจริญ จ.หนองคาย ในสมัยนั้น ตั้งแต่ ป.3 ถึง ป.6 เพราะคุณพ่อย้ายมาทำงานที่อำเภอแห่งนี้ ก่อนจะย้ายโรงเรียนอีกครั้งในชั้น ม.1 ไปที่โรงเรียนพรเจริญวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ
และที่แห่งนี้ทำให้ “จักรพันธ์ พรใส” แจ้งเกิด และกลายเป็นความหวังของอำเภอ เพราะ “เจ้าบอล” เล่นบอลเดินสายตั้งแต่ ม.1 ในรุ่นประชาชนทั่วไป พูดง่ายๆ คือ ในวัย 13 ปี เขาตะลุยฟุตบอลระดับผู้ใหญ่แล้ว จากนั้นพอจบ ม.3 เขาได้ย้ายกลับไปเรียนที่อำเภอศรีวิไล ด้วยความคุ้นเคยกับทีมเดินสาย และมีความผูกพันกับที่นั่น
ในชั้น ม.ปลาย จักรพันธ์ ได้โอกาสลงเล่นหลายรายการ แต่ส่วนใหญ่ทีมโรงเรียนของเขาจะไปไม่ถึงดวงดาว เพราะจะแพ้ทีมโรงเรียนประจำจังหวัด นั่นคือ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ทว่าด้วยฟอร์มส่วนตัวดี ก็เลยได้โอกาสย้ายไปเล่นให้กับโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ที่เหมือนเป็นทีมตัวแทนของจังหวัดในรายการระดับประเทศ
แต่ด้วยความเป็นทีมโรงเรียนไม่ดังมากในเรื่องของฟุตบอล ทำให้เขาพ่ายแพ้อยู่ร่ำไป โดยรายการไพร์มินิสเตอร์ รอบประเทศ หลังจากพาทีมโรงเรียนประจำจังหวัดหนองคายได้แชมป์ภาคอีสาน ทีมโรงเรียนของ “เจ้าบอล” จับสลากมาอยู่ร่วมสายกับ อัสสัมชัญ ธนบุรี และอะคาเดมีของ ชลบุรี เอฟซี ผลก็คือ พวกเขาแพ้ อัสสัมชัญ ธนบุรี 1-6 และแพ้ ชลบุรี 1-10 ซึ่งความพ่ายแพ้คราวนั้นทำให้ จักรพันธ์ ฉุกคิดขึ้นมาว่า เขาอาจจะเหมาะกับการเรียนมากกว่า
ซึ่งผลการเรียนของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เพราะได้อันดับที่ 5 ของโรงเรียนในสายวิทย์-คณิต จนได้โควตาเรียนที่ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในคณะครุศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล
ชีวิตของ “บอล” ในรั้วมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะตั้งใจเรียนเต็มที่ แต่เขาก็ยังหลงรักกลิ่นสาบลูกหนังอยู่เสมอ โดยนอกจากจะเล่นให้ทีมมหาวิทยาลัย และกลับบ้านมาเล่นเดินสายบ้างแล้ว ก็ยังติดตามดูไทยลีกแทบทุกเสาร์-อาทิตย์ และชอบเดินไปหลังสนามศุภชลาศัย เพื่อดูรองเท้าสตั๊ดคู่สวยๆ โดยหวังว่าสักวันนึงเขาจะมีโอกาสเล่นฟุตบอลไทยลีกด้วยรองเท้าระดับท็อปแบบนี้บ้าง
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังมีความฝันยิ่งใหญ่ว่า สักวันจะต้องติดทีมชาติไทยให้ได้ โดยเจ้าบอลได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ด้วยการตามเชียร์ทีมชาติไทยแทบทุกนัด ซึ่งทัวร์นาเมนต์ ชิงแชมป์อาเซียน ปี 2007 รอบชิงชนะเลิศ เขาเดินทางไปเชียร์ทีมชาติไทยคนเดียว และได้รอขอลายเซ็นพี่ๆ นักเตะทีมชาติ โดยหวังว่าสักวันจะได้ติดทีมชาติอย่างพวกเขาบ้าง
จากนั้นในวัย 19 ปี “เจ้าบอล” ก็เริ่มคัดตัวกับทีมต่างๆ เช่น ราชวิถี, ทีโอที แต่ก็ไม่ติด กระทั่งได้โอกาสมาคัดตัวที่สโมสรตำรวจ เพราะมีนายตำรวจท่านหนึ่งที่อำเภอพรเจริญ เห็นแววของ จักรพันธ์ ช่วงที่กลับมาเล่นเดินสาย จึงได้ติดต่อกับ ชัยยงค์ ขำเปี่ยม อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทยที่เป็นเพื่อนกัน ซึ่งตอนนั้นเป็นเฮดโค้ชของสโมสรตำรวจอยู่ เพื่อให้ จักรพันธ์ มาทดสอบฝีเท้า
ปี 2007 สโมสรตำรวจ เพิ่งเลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 1 ทำให้ จักรพันธ์ มีโอกาสเข้ามาเป็นตัวสำรอง แต่ด้วยวัยเพียงแค่ 19-20 ปี เขาไม่ได้ถูกส่งชื่อเลย แม้กระทั่งชื่อตัวสำรองก็ไม่มี ในช่วงนัดแรกๆ จนวันนึงในเกมอุ่นเครื่องกับ สมุทรสงคราม เอฟซี เขาทำผลงานได้ดีมาก จนถูกใส่ชื่อฐานะตัวสำรองเกมไทยลีกที่จะพบกับ พนักงานยาสูบ ในสุดสัปดาห์ต่อมา
เกมกับ ยาสูบ นัดดังกล่าวเล่นไปได้ประมาณ 40 นาที วิเชียร เพชรจำรัส ได้รับบาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนตัว ซึ่งคนที่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในเกมวันนั้นก็คือ “จักรพันธ์ พรใส” แต่ด้วยความตื่นเต้น ลนจนทำอะไรไม่ถูก วันนั้นเขาเล่นได้ไม่ดีนัก แถมยังลืมล็อกข้อเท้าจนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ และถูกเปลี่ยนออกในครึ่งหลัง
จากนั้นโอกาสการลงสนามของ จักรพันธ์ น้อยลงไปอีก เนื่องจากสโมสรตำรวจดึงตัวสามดาวรุ่งอย่าง ศักรินทร์ จันทร์โยธา, รณชัย รังสิโย, ณธฤษภ์ ธรรมรสโสภณ เข้ามาช่วยทีม ทำให้ชื่อของจักรพันธ์ต้องถูกถอดออกจากทีมในเลกที่สองของปี 2007
ตอนนั้นเขาเลยเลือกที่จะเรียนอย่างเดียว เพราะเพิ่งย้ายมาเรียนที่ ม.ศรีปทุม ซึ่งอนาคตด้านฟุตบอลเรียกได้ว่า “เคว้งมากๆ”
ปี 2007 สโมสรตำรวจ ตกชั้นสู่ลีกดิวิชั่น 1 และปีต่อมา “โค้ชต้อม” วราศักดิ์ อุปถัมภ์นรากร โค้ชของ ม.ศรีปทุม ได้งานที่สโมสรการบินไทย ในศึกดิวิชั่น 1 จึงได้ชวน จักรพันธ์ มาร่วมทีม และนั่นก็ทำให้เขาได้กลับสู่วงโคจรนักเตะอาชีพอีกครั้ง และในเกมสุดท้ายของศึกดิวิชั่น 1 ปีนั้น จักรพันธ์ พรใส ได้ลงสนามให้กับ การบินไทย พบกับ สโมสรตำรวจ ที่กำลังลุ้นเลื่อนชั้น
ผลปรากฏว่า การบินไทย ที่หนีตกชั้นในเกมนัดสุดท้าย ถล่มสโมสรตำรวจถึง 4-1 แล้ว จักรพันธ์ พรใส ก็ยิงประตูทีมเก่าได้ ต่อหน้าต่อตาของ “ชัยยงค์ ขำเปี่ยม” ที่กลับมาคุมทีมตำรวจอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ จักรพันธ์ ถูกดึงตัวมาร่วมทีมตำรวจอีกครั้งในปี 2009 และนั่นคือปีแจ้งเกิดสุดๆ ของ “จักรพันธ์ พรใส”
ปี 2009 จักรพันธ์ เป็นตัวหลักของตำรวจ ที่เปลี่ยนเป็นชื่อ “เพื่อนตำรวจ” และสามารถช่วยให้เพื่อนตำรวจคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ในปีดังกล่าว จากนั้นชีวิตของ “จักรพันธ์ พรใส” ก็สดใสขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2010 เขาร่วมทีมเพื่อนตำรวจในศึกไทยลีก แบบที่เป็นตัวหลัก ไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว ก่อนจะถูกเรียกติดทีมชาติไทยครั้งแรกในวัย 23 ปี ในชุดลุยศึกเอเชียนเกมส์ 2010 ที่ประเทศจีน และหลังจากศึกเอเชียนเกมส์ 2010 จักรพันธ์ก็พบว่า เขาได้ถูกปล่อยตัวไปอยู่กับทีมแชมป์ไทยลีก ปี 2010 นั่นคือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เรียบร้อยแล้ว ในซีซั่น 2011
ในตอนแรก “เจ้าบอล” กังวลใจว่าจะไม่ได้รับโอกาสลงสนามนัก เพราะ “กิเลนผยอง” อุดมไปด้วยแข้งชั้นนำมากมาย ทั้ง ดัสกร ทองเหลา, ดานโญ เซียกา, ธีรศิลป์ แดงดา, คริสเตียน เคาคู ฯลฯ แต่การออกสตาร์ตเป็นตัวสำรองแค่ 12 นาที ในศึกชิงถ้วยพระราชทาน ก. ที่แพ้ ชลบุรี เอฟซี 1-2 ก็สร้างความประทับใจให้สตาฟฟ์โค้ชอย่างมาก เขาจึงได้รับการผลักดันให้ลงสนามในทุกรายการ รวมกันถึง 51 เกม (ตัวจริง 32 นัด และตัวสำรอง 19 นัด) เป็นรองแค่ ดานโญ เซียกา เพียงคนเดียว ที่ได้เล่นทั้งซีซั่นจำนวน 53 นัด
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในศึกไทยลีก ปี 2011 ทว่าปีต่อมา “เจ้าบอล” ก็เป็นหนึ่งในขุนพลชุด “แชมป์ไทยลีกแบบไร้พ่าย” ในปี 2012 ของ “กิเลนผยอง” แต่หลังจากนั้นด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ และการร้างสนามหลายเดือน ทำให้เขาหลุดตัวจริงของ “กิเลนผยอง” และต้องย้ายมาอยู่กับ สุพรรณบุรี เอฟซี ในปี 2013 ซึ่งเขาช่วยให้ “ช้างศึกยุทธหัตถี” จบอันดับที่ 4 ในปี 2013 และจบอันดับที่ 6 ในปี 2014 ก่อนสร้างประวัติศาสตร์พาสุพรรณบุรี เอฟซี จบอันดับสาม ในปี 2015 ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดของ “ช้างศึกยุทธหัตถี” เท่าที่เคยแข่งขันไทยลีก แถมยังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม ด้วยการยิง 13 ประตู ซึ่งเป็นผู้เล่นไทยที่ทำประตูมากที่สุดในปีดังกล่าวด้วย
จากนั้น จักรพันธ์ ต้องย้ายทีมอีกครั้ง โดยได้โอกาสย้ายไปอยู่ บางกอกกล๊าส เอฟซี หรือ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน ในช่วงเลกที่สอง เมื่อปี 2016 ซึ่งในช่วงเวลาที่เขาย้ายไปบีจี เป็นช่วงที่ตัวเลขอายุกำลังจะแตะเลขสาม จักรพันธ์ เริ่มมีอาการบาดเจ็บบ่อยครั้งขึ้น จนได้ลงสนามให้ “บีจี” รวมแค่ 23 นัดในลีก นับตั้งแต่เลกที่สองของปี 2016 จนถึงเลกแรกของปี 2017 ก่อนถูกปล่อยตัวมาอยู่กับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ในช่วงเลกที่สองของปี 2017
แม้จะได้กลับบ้าน มธ.ศูนย์รังสิต ทว่า จักรพันธ์ พรใส ในวัย 30 ปี ได้ลงเป็นตัวจริงในช่วงปี 2017-2018 กับ “แข้งเทพ” แค่ 3 นัดเท่านั้น นั่นทำให้เขาต้องเลือกย้ายทีมแบบยืมตัวไปอยู่ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ในเลกสองของปี 2018 และได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องถึง 14 นัดในเลกเดียวให้กับ “ราชันมังกร” ก่อนจะถูกปล่อยกลับสู่รัง “แข้งเทพ” ในปี 2019 ที่เขาคิดว่าน่าจะได้ลงเล่นมากกว่าเดิม เพราะไปพิสูจน์ตัวเองในถิ่นราชบุรีมาแล้วว่าเขาเล่นไหว
แต่ที่ไหนได้ เลกแรกของปี 2019 เขาได้ลงสนามให้ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ไปแค่ 91 นาที จากการลงตัวจริง 1 นัด และสำรองอีก 3 นัด โดยนัดที่เป็นตัวจริง ที่บุกเสมอ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 1-1 เขาถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่จบครึ่งแรกด้วยซ้ำ
นั่นเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งเขาต้องเลือกเดินทางอีกครั้ง โดยมีปลายทางเดิมนั่นคือ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ในฐานะนักเตะยืมตัว ช่วงเลกที่สองของปี 2019 และที่นั่นก็ทำให้เขาได้โชว์ศักยภาพให้ทุกคนเห็นว่า เขายังมีดีพอ
จักรพันธ์ พรใส ลงเล่นเลกที่สองของปี 2019 ด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ หลังกดไปถึง 10 แอสซิสต์จากการลงสนามแค่ 12 นัดให้ “ราชันมังกร” จนคว้าตำแหน่งจอมแอสซิสต์ชาวไทยแบบน่าเหลือเชื่อด้วยการลงสนามแค่เลกเดียว และเมื่อหมดสัญญากับ “แข้งเทพ” ทางด้านราชบุรีก็ไม่รอช้า จัดการคว้าตัว “เจ้าบอล” มาร่วมทีมแบบถาวร
ปี 2020 จักรพันธ์ พรใส ในวัย 33 ปี กลายเป็นตัวหลักของ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี อย่างต่อเนื่อง เขามีส่วนร่วมในฐานะตัวจริงทั้ง 5 เกมที่ราชบุรี ลงสนามในซีซั่นนี้จนถึงปัจจุบัน และทำได้ถึง 13 แต้ม เกาะกลุ่มหัวตาราง ลุ้นทั้งแชมป์ และพื้นที่ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก แต่แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน สโมสร ราชบุรีฯ ต้องพบข่าวร้าย เมื่อ จักรพันธ์ พรใส ประสบอาการบาดเจ็บหนัก เอ็นไขว้หน้า และเอ็นยึดเข่าด้านในขาด ซึ่งต้องเข้ารับการผ่าตัด และพักประมาณ 6-8 เดือน น่าจะปิดเทอมยาวสำหรับซีซั่นนี้ไปอย่างแน่นอนแล้ว
และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบชีวิตอีกครั้งของลูกผู้ชายที่ชื่อว่า จักรพันธ์ พรใส ที่ผ่านขวากหนามมามากมายบนถนนสายลูกหนัง
“ผมว่า ชีวิตผมเหมาะกับเพลงแสงสุดท้ายของพี่ตูนนะ ผมเริ่มจากไม่มีอะไร ผมคิดแค่ว่าผมต้องไปให้สุด ผมต้องไปให้ได้ ผมอยู่ได้ด้วยความฝัน และความหวังมาตั้งแต่เด็ก ผมจึงไปได้ถึงฝัน ได้เล่นไทยลีก ได้แชมป์ไทยลีก ได้ติดทีมชาติไทย ถ้าเราไม่มีความฝันหรือไม่มีความหวัง เราก็ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อย สำหรับผมไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ถ้ายังมีความฝัน ยังมีความหวัง มันจะยังมีแสงสุดท้ายให้เราหวังได้เสมอ”
ขอให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว : จักรพันธ์ พรใส
“จอน”