ข้าว บาเล่ย์
ภาพของนักเรียนในโครงการนักกีฬาของโรงเรียนพันท้ายนรสิงห์วิทยา เดินเท้า 10 กิโลเมตรไปโรงเรียน คือภาพที่โลกโซเชียลเห็นแล้วรู้สึกสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับทีมโรงเรียนที่มีชื่อในวงการลูกหนังขาสั้น
เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อมีการเปิดเผยเรื่องราวของนักเรียนโครงการฟุตบอลสู่ความเป็นเลิศโรงเรียนพันท้ายนรสิงห์วิทยา จังหวัดสมุทรสาคร จำนวนประมาณ 200 คน ไม่มีรถไปโรงเรียน เนื่องจากผู้อำนวยการโรงเรียนมีคำสั่งยึดรถโดยสารที่รับนักเรียนไปโรงเรียนคืน อีกทั้งด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทางจังหวัดให้นักเรียนอาศัยอยู่ในโรงเรียนได้ไม่เกิน 40 คน ทำให้นักเรียนจากต่างภูมิลำเนา ต้องไปอาศัยอยู่ที่วัดเป็นการชั่วคราว
ทันทีที่ข่าวถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ที่ตกเป็นเป้าทัวร์ลงครั้งนี้ ย่อมหนีไม่พ้นผู้อำนวยการหญิงของโรงเรียน ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563
เสียงเล่าลือที่เล่าให้ทีมข่าวฟัง บอกว่า เดิมทีโรงเรียนแห่งนี้เปิดโครงการนักฟุตบอลมาเป็นเวลากว่า 8 ปี ได้รับความร่วมมือจาก MJ Academy ในการปลุกปั้นนักฟุตบอล จนทำให้ทีมโรงเรียนพันท้ายนรสิงห์วิทยา มีชื่อเสียงในวงการลูกหนังขาสั้น และเป็นทีมแถวหน้าของประเทศเลยก็ว่าได้
ตลอด 8 ปี ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้อำนวยการมากี่คน การบริหารทีมฟุตบอลและความเป็นอยู่ของนักเรียนในโครงการ ไม่เคยมีปัญหา นี่คือคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดทีม
จนกระทั่งการเข้ามาของผู้อำนวยการรายนี้ การบริหารจัดการเริ่มติดขัด ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทางโรงเรียนจึงมีคำสั่งให้นักเรียนในโครงการย้ายออกจากโรงเรียนให้หมด เพราะมองว่า โรงเรียนไม่ใช่ที่พัก กระทั่งมีการต่อรองจนอนุญาตให้อยู่ในโรงเรียนได้เพียง 40 คน ส่วนที่เหลือต้องไปพักตามวัด
เด็กๆ บางคนท้อใจ ที่อุตส่าห์พยายามเพื่อมาสอบติดโครงการของโรงเรียนแถวหน้าของประเทศ เเต่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ บางคนถึงกับร้องไห้กับผู้ปกครอง แต่ยืนยันจะขอสู้ต่อ หรือบางคนก็ถอดใจอยากกลับภูมิลำเนา
กระทั่งเหตุการณ์ที่ผู้อำนวยการหญิง ตัดสินใจยึดรถรับส่งนักกีฬาคืน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อไปต่อทะเบียน จึงเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้นักเรียนในโครงการตัดสินใจเดินขบวนไปโรงเรียน พร้อมเสียงตะโกนขับไล่ผู้อำนวยการ
ประเด็นเรื่องนโยบายการบริหารโรงเรียน คงเป็นสิ่งที่ผู้เขียนมิอาจก้าวล่วง เพราะผู้อำนวยการทุกคนย่อมมีส่วนในการกำหนดวิสัยทัศน์
แปลไทยเป็นไทย ก็คือ จะเน้นการเรียน, ดนตรี, ศิลปะ หรือกีฬา หรือจะไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่ง ไม่มีใครว่า เพราะอำนาจเต็มในการกำหนดทิศทางย่อมอยู่ที่ผู้บริหารอยู่แล้ว จะไม่เอากีฬาแล้ว ทุกคนก็คง "ทำได้แค่ทำใจ"
แต่ทำไม..ถึงละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กๆ เหล่านี้ควรได้รับ นั่นคือ "การเรียนหนังสือ"
ผู้อำนวยการให้เหตุผลกับนักเรียนว่า เพราะรถรับส่งเก่าแล้ว เกรงความปลอดภัยของนักเรียน นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา โรงเรียนคือผู้รับผิดชอบเต็มๆ
แต่.. การจะหารถรับส่งให้นักเรียนในโครงการเพื่อใช้ชั่วคราว จนกว่าจะเช็กสภาพรถเรียบร้อย เป็นสิ่งที่ยากเกินไปหรือไม่? ถามใจของท่านดู
หรือการแก้ปัญหาเพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนหนังสืออย่างเท่าเทียม มีอีกหลากหลายวิธีที่เป็นหน้าที่ของ ผอ. ผู้ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโรงเรียน สามารถกระทำได้
หรือหากการสื่อสารตกหล่นไปตรงไหน ก็ควรจะรีบสืบให้ถึงต้นตอของปัญหานั้น
นักเรียนที่ต้องเจอกับความยากลำบากด้วยการออกไปอยู่วัดเป็นที่พักชั่วคราว แต่ยังต้องมาเจอกับอุปสรรคอีก ไปโรงเรียนก็ไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับวงการการศึกษา และวงการกีฬานักเรียน เพราะมันเป็นภาพที่ดูไม่ดีเลย
วันนี้บอกได้ว่าความฝันของเด็กในโครงการ ในการเล่นฟุตบอล ได้ถูกทำลายไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ขออย่ามาทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานอย่าง "การไปเรียนหนังสือเสมือนนักเรียนปกติ" ที่พวกเขาควรได้รับ แค่นั้นเองครับ
ลอร์ด โวลเดอมอร์