ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ตอนแรกเหมือนว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะปรับโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกให้ไปเริ่ม ก.ย.63 และเตะข้ามปีไปจบ พ.ค.64 ตามมติของสโมสรเมื่อ 14 เม.ย. ได้อย่างสะดวกโยธิน
แต่ทำไปทำมาเส้นทางกลับสะดุด เมื่อทรูวิชั่นส์ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ออกมาสะกิด ส.ลูกหนังไทย ให้ทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด พร้อมขอสงวนสิทธิ์การจ่ายเงินค่าสิทธิประโยชน์ หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงไว้
ในมุมของทรูต้องการให้ไทยลีกจบลงในปีนี้ หากเลยไปปีหน้าก็ถือว่าผิดสัญญาที่ได้ตกลงกัน แต่ ส.บอลก็ยืนยันที่จะแข่งจบในปีหน้า พร้อมส่งหนังสือสอบถามแนวทางปฏิบัติต่างๆ 5 กรณี
กระทั่งการสื่อสารอย่างเป็นทางการล่าสุด ทรูวิชั่นส์ส่งหนังสือตอบกลับ ยืนยันจะรับสัญญาณถ่ายทอดสดถึงวันที่ 25 ต.ค.63 ตามสัญญาเดิมถ้าจะให้ถ่ายถึงวันที่ 31 ธ.ค.63 ต้องเจรจาสัญญาฉบับใหม่
ส่วนแมตช์ตั้งแต่ 1 ม.ค.64 ถึง พ.ค.64ยินดีให้สมาคมฯหาผู้รับสัญญาณรายอื่น นอกจากนี้ ยังขอเจรจาลดมูลค่าฯ จากการที่สมาคมฯลดทีมสโมสรในไทยลีก จาก 18 ทีม ลงเหลือ 16 ทีม ในฤดูกาล 2019 ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาร่วมกัน
จนในที่สุด เมื่อวันที่ 13 ก.ค. สมาคมฟุตบอลฯ ก็ตัดสินใจร่อนหนังสือสอบถามสโมสรสมาชิกว่า จะเตะต่อไปหรือไม่ เพราะมีแนวโน้มค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจะได้รับเงินสนับสนุนน้อยลงกว่าเดิม โดยขอคำตอบภายใน 7 วัน
เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ กราวกีฬาไทยรัฐได้สอบถามความคิดเห็นจากสโมสรต่างๆด้วย
“บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช ประธานที่ปรึกษา “กว่างโซ้ง” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เผยว่า การเตะจบในปีนี้ข้อดีคือทุกสโมสรก็จะได้เงินจากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด แต่นักฟุตบอลจะต้องเจอเกมที่ถี่ขึ้น คุณภาพการแข่งขันจะลดลง รวมถึงการหายไปของฟุตบอลถ้วย ส่วนการต้องเตะไปถึงปีหน้า แน่นอนว่านักกีฬาไม่ต้องเจอโปรแกรมหนัก แต่ปัญหาคือค่าถ่ายทอดสดจะได้น้อยกว่าที่พึงได้
ส่วน “สว.ก๊อง” ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร ประธานสโมสร “ช้างเผือก” เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ระบุว่า หากค่าลิขสิทธิ์มีความชัดเจนว่าจะได้รับ แต่ต้องแข่งจบปีนี้ เชื่อว่าทุกสโมสรพร้อมแข่งขัน แน่นอนว่าโปรแกรมจะแน่นขึ้น แต่ขอเสนอให้เพิ่มจำนวนผู้เล่นในทีมพร้อมกับนำกฎเปลี่ยนตัว 5 คนมาใช้ หากต้องลงเอยด้วยการเตะจบปีหน้า เราก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องขอความชัดเจนเรื่องเงินที่จะได้รับจากผู้ที่มารับช่วงต่อด้วย
ด้าน สจ.อดุลย์ นิยมสมาน รองประธาน “ม้านิลมังกร” ระยอง เอฟซี กล่าวว่า การจบสิ้นปีทำให้เคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆได้ลงตัว เพราะสัญญานักเตะจะได้สิ้นสุดช่วงนั้นพอดี หากต้องลากยาวถึง พ.ค. 64 จะทำให้สโมสรมีภาระเพิ่มขึ้นเพราะการจ่ายค่าเหนื่อยจะยืดออกไป ด้วยภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้รายรับสโมสรก็เข้ามาน้อย ส่วนตัวอยากให้จบปีนี้ดีที่สุด แล้วค่อยว่ากันใหม่ปีหน้า
นี่เป็นมุมมองที่ผู้บริหารทีมฟุตบอลที่จะต้องได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้
สถานการณ์เหมือนเดินมาถึงทางแยก จะเลือกเตะให้จบในปีนี้ และรับเงินจากสิทธิประโยชน์ในจำนวนที่ลดลง หรือตัดสินใจไปลุ้นเอาดาบหน้า ด้วยการยืนยันจบลีกในปี 64
ถึงตรงนี้คงเป็นหน้าที่ของหมู่มวลสมาชิก
ต้องตัดสินใจกำหนดชะตากรรมกันเอาเอง!!
พิสิฐ ภูตินันท์ เรื่อง