พาวเวอร์บอมบ์
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวคราว วงการฟุตบอลบ้านเรากลับมาอยู่ ในกระแสอีกครั้ง
คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก ประเด็น “ดราม่า” เรื่อง “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ประกาศ แยกทางกับ “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ ชนิดสายฟ้าแล่บนั่นแหละครับ
ผมเองไม่สามารถชี้เฉพาะเจาะจงลงไปได้ว่าใครถูกหรือใครผิด
แต่เอาเป็นว่าท้ายที่สุดแล้ว กระแสส่วนใหญ่ ตีกลับ และถาโถมเข้าใส่ผู้ที่จุดประเด็นแบบเต็มๆ
คอลัมน์ฉบับวันนี้คือความในใจของ “บิ๊กเปี๊ยก” องอาจ ก่อสินค้า หรือที่คนในวงการเรียกติดปากกันว่า “มิสเตอร์โอเค”
เขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพคู่ใจของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรการท่าเรือฯ
นี่คือมุมมองจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่กับหลากหลายสโมสรตลอดชีวิตการทำงาน ของเขา และในอีกมุมก็ยังเป็นข้อความจากคนที่ไม่เคยตอบโต้ใดๆกับใครเลยด้วย
คิดเห็นเป็นอย่างไรไม่ว่ากันครับ
แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่านี่คือตัวตนอันแท้จริง ของทีมสโมสรฟุตบอลในบ้านเรา
โดยเฉพาะความหมายของคำว่า “แทรกแซง”
ooooooooooooo
สโมสรฟุตบอลในไทยส่วนมากเป็นประเภทเจ้าของคนเดียว ไม่ได้มีผู้ร่วมทุน ใช้เงินของเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวในการทำทีม
ดังนั้น โค้ช ผู้ฝึกสอนที่เข้ามาทำงาน เข้ามาฝึกสอน และดำเนินการทางเทคนิค คิดจะเป็นผู้มีอำนาจ สูงสุดแต่เพียงผู้เดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันกับทั้งผู้บริหาร และทีมงานเป็นองค์ประกอบสำคัญ
เจ้าของทีมลงทุนลงแรงไปมาก ไม่มีใครที่จะ คาดหวังให้ทีมแย่
โค้ชเมื่อทำทีมไม่ดี แน่นอนต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่ปัญหาที่ก่อขึ้นไว้แล้วก็ทิ้งไว้กับทีม และหนักที่สุดคือ เจ้าของที่ต้องรับศึก และบางครั้งก็ยากที่จะเอาทีมกลับมา
อย่างเช่นปีแรกที่ทีมการท่าเรือตกชั้น ก็เป็นบทเรียน
ซึ่งจะเห็นว่าในไทยลีก การทำงานของโค้ช กับผู้บริหารต้องร่วมกันอย่างใกล้ชิด ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง รวมถึงตัวผู้เล่น โดยน่าจะเรียกว่าเป็นการทำงานแบบร่วมกันตัดสินใจ มากกว่าการ แทรกแซงกัน
คือ ทุกการตัดสินใจหลักก็มาจากโค้ช เพียงแต่ ผู้บริหารก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูการตัดสินใจนั้น ด้วยเพื่อให้ทีมมีผลงานออกมาดีที่สุด
ถ้าจะบอกว่ามีการแทรกแซง มันก็ทำให้เห็นว่า ทีมมีผลงานได้ดี ประสบความสำเร็จจากฤดูกาลที่แล้ว ที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพ และได้อันดับที่ 3 ต่อเนื่องจนถึงฤดูกาลนี้ที่ยังไม่แพ้ใครตลอด 4 นัด ซึ่งก็เป็นผลงานของการทำงานร่วมกันที่โค้ชได้กล่าวอ้างว่ามีการแทรกแซง
ทั้งที่ตัวโค้ชเองก็มีปัญหาด้านภาพลักษณ์ คุณภาพการฝึกซ้อมก็มีปัญหา และการใช้อารมณ์กับ ผู้ร่วมงาน รวมถึงนักกีฬาในระหว่างการฝึกซ้อมและ แข่งขัน แต่ด้วยผลงานการแข่งขันก็ทำให้ผู้บริหารยังให้โอกาสทำทีมต่อ
ในเมื่อถึงตอนนี้ มีสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และประกอบกับเหตุผลที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ก็เพียงพอจะให้ทีมได้ตัดสินใจให้คณะผู้ฝึกสอนนี้ออกจากทีม
ซึ่งก็เป็นไปตามวิถีของฟุตบอลและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในวงการฟุตบอลตามมารยาทแล้วไม่ควรนำเรื่องภายในสโมสรออกมาเปิดเผยภายนอก
การกระทำเช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะ จากคนที่เคยกินข้าวหม้อเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าท่านประธานสโมสร ก็คงจะทุ่มเทเพิ่มมากขึ้น และทำงานหนักมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทีมบรรลุวัตถุประสงค์ และพาทีมฝ่าฟันวิกฤตการณ์ ในช่วงนี้ไปพร้อมๆกันทั้งทีมงาน และนักเตะของสโมสร.
DR.OK
พาวเวอร์บอมบ์