บี บางปะกง
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีเรื่องไหนในวงการฟุตบอลไทยจะฮอตมากไปกว่าประเด็น “ดราม่า” การแยกทางกันแบบฟ้าผ่า ระหว่างสโมสรการท่าเรือ กับกุนซือโชคทวี พรหมรัตน์ อีกแล้วล่ะครับ
สิ่งที่เกิดขึ้น มีเบื้องหลัง เบื้องลึก อย่างไร? ผมไม่อาจทราบได้จริงๆ ทราบแต่ว่าทั้งสองฝั่งเขาก็มีเหตุผลของตัวเองมาชี้แจงต่อสังคม
ส่วนเราจะเชื่อ...ไม่เชื่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ ฝ่ายไหน ยังไง? ก็คงนานาจิตตัง สุดแท้แต่ระบบความคิดและประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคน
สรุปว่า “สิงห์เจ้าท่า” ในยุคของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ มีการเปลี่ยนโค้ชมาแล้ว ดังนี้ สมชาย ชวยบุญชุม, ไพบูลย์ เลิศวิมลรัตน์, แกรี สตีเวนส์, สมชาย ทรัพย์เพิ่ม, มาซาฮิโร วาดะ, จเด็จ มีลาภ
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, จเด็จ มีลาภ, โชคทวี พรหมรัตน์ และ จเด็จ มีลาภ ที่กลับมารับหน้าที่รักษาการหัวหน้าผู้ฝึกสอน (อีกครั้ง) เป็นคำรบที่ 3 แล้ว
เรื่องนี้ถ้าจะว่าไปแล้วทั้ง “เจ้าของทีม” และคนเป็น “โค้ช” ต่างก็น่าเห็นใจด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ!!
ภาษิตที่โบราณเขาว่า “ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า” จึงย่อมใช้ได้เสมอกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้
ประมาณว่า...เมื่อเรื่องมันจบแล้ว ก็สมควรแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของ “มืออาชีพ” น่าจะดีที่สุด
จริงๆแล้ว คำแถลงการณ์ของ “มาดามแป้ง” น่าจะเคลียร์ข้อสงสัยของทั้งสื่อและแฟนฟุตบอลทั้งหลายได้เป็นอย่างดีแล้ว
ยกเว้นคนที่มี “อคติ” อยู่ในใจ หรือฟังความข้างเดียว นั่นก็อีกเรื่องนึง
ส่วนตัวแล้วผมชื่นชมในหัวจิตหัวใจของท่านประธานหญิงเหล็กสิงห์เจ้าท่าผู้นี้ ที่เลือกวิธีการอธิบายทุกอย่างแบบตรงไปตรงมาโดย “บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น”
แถมยังให้เกียรติ ขอบคุณโค้ชโชคกับความสำเร็จที่ทำให้ท่าเรือ และอวยพรให้โชคดีบนเส้นทางของตัวเองต่อไป
แต่ที่โดนใจเป็นพิเศษ ก็คือ “มาดามแป้ง” ไม่ลืมที่จะยกย่องบุคคลที่อยู่เคียงข้างตัวเธอและสโมสรมาโดยตลอด
อย่าง “เซอร์เด็จ” จเด็จ มีลาภ ประธานเทคนิค และ “บิ๊กเปี๊ยก” องอาจ ก่อสินค้า ผู้จัดการทีม
ซึ่งเธอเปรียบทั้งคู่ว่าเหมือน “ตำบลกระสุนตก” ที่เรื่องแย่ๆภายในทีมทั้งหลายแหล่ มักมาตกอยู่ที่ทั้งสองคนนี้อยู่เสมอ
ทั้งที่ใครที่มาสัมผัสกันจริงๆแล้ว จะรู้ว่าทุกอย่างมันตรงกันข้ามกับข่าวร่ำข่าวลือที่ออกมาโดยสิ้นเชิง
แต่ทั้ง “บิ๊กเปี๊ยก” กับ “เซอร์เด็จ” ก็ ไม่เคยปริปากบ่น หรือไป “ร้องแรกแหกกระเชอ” ที่ไหน?
ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป... ด้วยความตั้งใจ
แถมในวันที่สโมสรเจอวิกฤติ สองคนนี้ยังเสียสละเดินมาขอลดเงินเดือนโดยที่ตัวเธอเองไม่ได้ร้องขออีกต่างหาก
เรียกว่าทุกอย่าง...เป็นเรื่องของน้ำใจล้วนๆ
แต่นี้ไปเมื่อไม่มี “โค้ชโชค” ผลงานของการท่าเรือ เอฟซี จะดีขึ้นหรือถอยลง ยังไง ไม่มีใคร (กล้า) การันตีหรอก
รู้แต่ว่า คนชื่อ จเด็จ กับ องอาจ คงไม่แคล้วต้องอยู่ใน “ตำบลกระสุนตก”
แบบนี้ต่อไป...กันอีกนาน!!!
บี บางปะกง