บี บางปะกง
ต้องแสดงความยินดีกับ “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กับความท้าทาย (อีกครั้ง) ในชีวิตค้าแข้ง
เมื่อเจ้าตัวบรรลุข้อตกลงย้ายจากเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปผจญภัยในศึกเจลีก ลีกสูงสุดของญี่ปุ่น เป็นคำรบที่ 2 กับต้นสังกัดใหม่ สโมสรชิมิสุ เอสพัลส์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยการไปลุยแดนซามูไรเที่ยวนี้ของยอดศูนย์หน้า“หมายเลข 1”ทีมชาติไทย แตกต่างจากครั้งก่อนๆที่ส่วนใหญ่ไปในรูปแบบการ “ยืมตัว” จากทีมกิเลนผยอง
พอหมดสัญญาเจ้าตัวก็คืนสู่เหย้ามาเล่นให้เมืองทองทุกครั้งไป
แต่รอบนี้เป็นการขายขาด ซึ่ง “เจ้ามุ้ย” จะเปลี่ยนมือเจ้าของไปอยู่ในการครอบครองของชิมิสุ เอสพัลส์ เป็นเวลา 2 ปีเต็ม
บวกกับออปชันการขยายสัญญาออกไปได้อีกเรื่อยๆ ถ้าเจ้าตัวโชว์ฟอร์มฉลุยในแดนปลาดิบอย่างที่ตั้งใจไว้
ว่ากันว่าการรีเทิร์นเจลีกอีกรอบของธีรศิลป์ เป็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าของเขาเอง
หลังจากยัง “คาใจ” กับการค้าแข้งเที่ยวแรกกับทีม ซานเฟรซเซ ฮิโรชิมา เมื่อฤดูกาล 2018
โดยครั้งนั้นเจ้าตัวยิงไป 6 ประตู 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 31 นัด ช่วยให้ทีมคว้าตำแหน่งรองแชมป์เจลีกมาครอง
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่พอใจกับผลงานที่ยังไปไม่ถึงเป้านัก
แถมยังผิดหวังที่ซานเฟรซเซไม่มีท่าทีซื้อขาด แต่จะขอยืมตัวต่อ ซึ่งเมืองทองไม่โอเค
ดังนั้น เขาจึงต้องกลับไทยด้วยความผิดหวัง
ความจริง “เจ้ามุ้ย” คุ้นชินกับการไปเล่นต่างแดนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นที่ไปอยู่กับทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคที่มีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ
ก่อนจะระเห็จไปเล่นทีมยู-21 กับ กราสฮอปเปอร์ ซูริก ในสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ช่วงหนึ่ง
จนมาในช่วงพีกๆของชีวิตก็สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็น แข้งไทยรายแรกที่ได้ไปโชว์ฝีเท้าในลาลีกา สเปน กับ อูเด อัลเมเรีย
และต่อมาก็ได้สัมผัสเจลีกแบบเต็มๆกับ ซานเฟรซเซ ฮิโรชิมา
ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เจ้าตัวไม่เคยลืม เพราะมั่นใจว่าฝีเท้าของตัวเองน่าจะเหมาะสมและลงตัวที่สุดแล้วกับฟุตบอลแดนซามูไร
ที่ผ่านมา ดาวเตะทีมช้างศึกอาจผ่านประสบการณ์ค้าแข้งนอกประเทศมาอย่างโชกโชน
แต่เชื่อว่าไม่มีครั้งไหนจะท้าทายตัวเขาเองมากไปกว่าครั้งนี้อีกแล้ว
ด้วยดีกรีความเป็นสุดยอดนักเตะของเมืองไทยมาช้านาน บวกกับอายุอานามที่ เลข “3” นำหน้าแล้วในเวลานี้
นี่คือ “รถไฟขบวนสุดท้าย” ที่เจ้าตัวจะพิสูจน์ศักยภาพให้ทุกคนได้ประจักษ์ ว่าเขา “เจ๋ง” แค่ไหนในเวทีนี้
ต้องขอบคุณผู้บริหารทีม “กิเลนผยอง” ที่คอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลชีวิตของ “มุ้ย” มาโดยตลอด
จะบอกว่า ถ้าไม่มี “เมืองทอง” เราอาจจะไม่ได้เห็น “ธีรศิลป์ แดงดา”
โลดแล่นบนยุทธจักรลูกหนังอาชีพ
จนถึงปัจจุบัน...ก็เป็นได้!!!
บี บางปะกง