ตองเจ
(Photo by CHALINEE THIRASUPA / AFP)
ยังอดนึกขันไม่ได้สำหรับโปรแกรมการฝึกซ้อมของทีมช้างศึกเพื่อเตรียมลงฟาดแข้งศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 8-26 ม.ค.2563 โดยนัดแรกของไทย จะประเดิมสนามกับบาห์เรนในวันที่ 8 ม.ค. ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
จากโปรแกรมที่ “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือซามูไรวางไว้ จะเรียกเข้าแคมป์วันที่ 26 ธ.ค.นี้
ลองนับนิ้วดูกี่ครั้งก็ได้แค่ 10 กว่าวันเท่านั้น
เอ! แล้ว 10 กว่าวันที่วางไว้ จริงๆ แล้วเพียงพอกับทัวร์นาเมนต์ระดับเอเชียหรือเปล่า
เชื่อว่าหลายคนคงตั้งคำถามเช่นเดียวกับผม เพราะขนาดในอาเซียน “ซีเกมส์ ครั้งที่ 30” เราซ้อมหนักกว่านี้ยังร่วงตกรอบแรกเลย
แล้วนี่ระดับเอเชียแถมทีมร่วมสายก็ไม่ธรรมดา แล้วเราจะรอดหรือเปล่า
ไม่แน่นะอาจเป็นเทคนิคใหม่ของกุนซือซามูไรก็ได้ใครจะรู้ เพราะประเทศญี่ปุ่นเขาก็ไปฟุตบอลโลกมาแล้วหลายครั้งหลายหน คิดว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์พิชิตศึกก็ได้
เพราะ “นิชิโนะ” เองก็บอกเองว่าการซ้อมหนักอาจส่งผลให้นักกีฬาบาดเจ็บได้ แสดงว่าถ้าซ้อมน้อยแค่ 10 กว่าวันก็น่าจะเพียงพอ เรามาเน้นที่เทคนิคแท็กติก ส่วนเรื่องแรงไว้ทีหลัง
ถือเป็นแนวคิดและแบบฝึกสมัยใหม่จริงๆ
เพราะ “นิชิโนะ” เองก็รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นใด หลังทำทีมไทยตกรอบแรกศึกซีเกมส์ รวมถึงอยู่ในอาการโคม่าต่อการลุ้นเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย
ก็ไม่รู้ว่าหากผิดหวังรายการนี้ตั้งแต่ต้นปีจะมีข้ออ้างอย่างไร รวมถึงแม่ทัพอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จะมีวลีเด็ดออกมาจากปากอีกหรือเปล่า
ที่ผ่านมา “บิ๊กอ๊อด” ก็แสดงให้เห็นหลายครั้งว่าเริ่มชินชากับคำว่าแพ้หรือมองข้ามกับคำว่าชนะไปแล้ว ส่วนเรื่องอายคงไม่ต้องพูดถึง ท่านคงอายตลอด
แต่ก็แปลกหลังจากที่ร่วงตกรอบแรกกีฬาซีเกมส์ยังไม่เห็นท่านประมุขลูกหนังออกมาบอกว่า “อาย” เลยหรือลืมคำนี้ไปแล้วครับ
วันนี้ฟุตบอลไทยกล้าบอกได้อย่างเต็มปากว่าตกต่ำและห่วยที่สุด ไม่ประสบความสำเร็จสักรายการ
แต่ตัวนายกก็ยังนิ่งไม่เห็นเดือดร้อนอาทรแต่อย่างใด คงต้องดูแหละครับว่าสมัยหน้ายังทนที่จะนั่งเก้าอี้ตัวนี้หรือเปล่า
เชื่อว่าแฟนบอลรวมถึงคนไทยหลายคนคงปลงกับสมาคมฟุตบอลยุคนี้ไปแล้ว.
ตองเจ