ไทยรัฐฉบับพิมพ์
“ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เสร็จสิ้นภารกิจในทัวร์นาเมนต์ “ไชน่า คัพ” กับการคว้า “รองแชมป์”
ต้องถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจเลยทีเดียว เพราะเราสามารถบุกไปชำระแค้นทีมชาติจีนได้ถึงถิ่น
และแม้ในรอบชิงชนะเลิศจะต้านทานความแข็งแกร่งของ “จอมโหด” อุรุกวัย ไม่ได้ แต่ก็เชื่อว่าไม่มีแฟนบอลคนไหนกล้าออกมาตำหนิเป็นแน่ เพราะคู่ต่อสู้ของเราคือทีมอันดับ 7 ของโลก
การที่ทีมชาติไทยได้ร่วมเล่นในรายการนี้ ส่งผลดีในทุกมิติ โดยเฉพาะเรื่องของการทำอันดับโลก รวมไปถึงประสบการณ์ที่นักเตะได้รับ เพื่อนำกลับมาพัฒนาศักยภาพของตัวเองในอนาคต
ถ้าไม่ชื่นชมสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯก็คงจะดูใจแคบไปหน่อย
โปรแกรมของ “ช้างศึก” ต่อจากนี้ ในเดือน มิ.ย. (ฟีฟ่าเดย์) จะลงฟาดแข้งในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 และต่อด้วยฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบ 2 (40 ทีมสุดท้าย) โซนเอเชีย ในเดือน ก.ย.
แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ที่นำทีมทำผลงานดีมาโดยตลอดตั้งแต่รับบทนายใหญ่ (จำเป็น) ในศึกเอเชียนคัพ 2019 จนกระทั่งล่าสุดใน “ไชน่า คัพ” ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงไป จะไม่ได้ทำหน้าที่ต่อ เนื่องจาก “โค้ชโต่ย” ยังไม่ใช่กุนซือที่มี “โปรไลเซนส์” รวมไปถึง “โค้ชโชค”โชคทวี พรหมรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยก็ยังไม่จบ “เอ ไลเซนส์”ด้วย
ทำให้ “โค้ชคนคู่” แห่งยุค ไม่สามารถคุมทีมชาติได้ในเกมระดับเมเจอร์ ซึ่งเป็นกติกาสากล
คำถาม (ดังๆ) ที่ตามมาก็คือ จากนี้ใครจะเป็นคนคุมทัพช้างศึก?
“บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ไว้ว่า เรื่องโค้ชเราถูกบังคับจากองค์กรสากล เราต้องยอมรับในกติกา เราไม่อาจฝืนได้ ผมกับ “โค้ชโต่ย” และ “โค้ชโชค” ได้มีการพูดคุยกันตลอด ซึ่งทุกคนเองก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี
“ทุกคนมีความมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานเพื่อชาติและพร้อมจะทำงานร่วมกับสมาคมฯ เพราะทุกคนรักฟุตบอลและรักทีมชาติไทย ส่วนเงื่อนไขต่างๆทุกคนรับได้หากได้ทำหน้าที่โค้ชหรือผู้ช่วยผู้ฝึกสอนในอนาคต”
โดยสรุปแล้วคือ ต้องหาโค้ชคนใหม่เข้ามาคุมทัพช้างศึกทันที เพื่อรับงานในการพาทีมลุยศึก “คิงส์คัพ” ซึ่งถือว่าเป็นทัวร์นาเมนต์ในการเตรียมทีมก่อนเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
แม้จะมีรายงานข่าวเบื้องลึกออกมาว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯหา “ตัว” ได้แล้ว
โดยว่าที่กุนซือคนใหม่ของทีมชาติไทยเป็นชาวยุโรป
แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวที่เล็ดลอดออกมา และยังไม่มีใครยืนยันอย่างเป็นทางการ
ขณะเดียวกัน กราวกีฬาไทยรัฐได้สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้กับทาง “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล อุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการเป็นโค้ช
“โค้ชเฮง” ให้คอมเมนต์เกี่ยวกับผลงานของทีมชาติไทยว่า ตอนนี้ทีมชาติไทยทุกชุดมีปัญหาในเรื่องของเกมรับ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของเกมรับหลักๆมีอยู่ 2 สิ่งคือ ความเร็ว และความแข็งแกร่ง ดังนั้นถ้าหากเราไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของนักเตะเราใน 2 สิ่งนี้ได้ “เราก็ไม่มีทาง”
ส่วนเรื่องโค้ชของทีมชาติชุดใหญ่นั้น “โค้ชเฮง” ยืนยันว่าหากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯทำหนังสือไปถึงสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) เพื่อขอให้ “โค้ชโต่ย” ได้ทำหน้าที่ โดยอ้างถึงการที่ “โค้ชโต่ย” กำลังเรียน “โปรไลเซนส์” อยู่ ตามแนวทางที่เคยทำมาแล้วในเอเชียนคัพ....มันก็น่าจะทำได้
อยู่ที่ว่าสมาคมฯจะทำหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากช้างศึกได้โค้ชต่างชาติเข้ามาคุมทีม โค้ชคนนั้นจะต้องเป็นโค้ชที่มีประสบการณ์ และเป็นโค้ชที่มีจิตวิทยาสูง
“อยู่ที่ว่าโค้ชคนนั้นจะเข้ามาให้อะไรกับนักเตะ และจะเข้ามาจัดการกับนักเตะอย่างไร รวมถึงต้องสามารถลงลึกในรายละเอียดได้ด้วย”
ผมอยากได้โค้ชที่ทำให้ผู้เล่นดูดี
ไม่อยากได้โค้ชที่ผู้เล่นทำให้โค้ชดูดี!