บี บางปะกง
อุซเบกิสถาน ชนะ เวียดนาม
บทสรุปของศึกลูกหนังยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย ที่ปิดฉากลงไปแล้วเมื่อเสาร์ที่ผ่านมา
ตำแหน่งชนะเลิศตกเป็นของอุซเบกิสถาน ที่คว้าแชมป์ระดับทวีปได้เป็นครั้งแรก หลังเอาชนะเวียดนามลงได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ของรอบชิง 2-1
แต่สิ่งที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ กลับไม่ใช่ความสำเร็จของอุซเบฯ แต่เป็นผลงานอันยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมายของขุนพลดาวทอง “เวียดนาม” เพื่อนร่วมอาเซียนของเรา
เพราะขณะที่ทีมชาติไทยตกรอบแรก ด้วยการแพ้รวดทั้ง 3 นัด และยิงประตูคู่แข่งได้เพียงแค่ลูกเดียว รั้งอันดับ “บ๊วย” ในการแข่งขันครั้งนี้จากการจัดอันดับของเอเอฟซี
แต่นักเตะสกุลเหงียนกลับโชว์พลังแข้งได้อย่างโดดเด่นสุดยอดด้วยการทะลุเข้าถึงชิงและแพ้คู่แข่งไปแบบฉิวเฉียด
นี่ยังไม่นับเสือเหลือง มาเลเซีย อีกหนึ่งชาติอาเซียนที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกครั้งนี้ โดยสร้างประวัติศาสตร์โค่นมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย อย่าง ซาอุดีอาระเบีย ในรอบแรกได้สำเร็จ
เรียกว่าทั้ง 2 ชาติสร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการลูกหนังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะความสุดติ่งกระดิ่งแมวของเวียดนาม ที่ทุกคนต้องจดจำ เพราะก้าวไปถึงตำแหน่ง “รองแชมป์เอเชีย” อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
สมราคาคุยที่เขาเคยโม้ไว้ว่าทีมเหงียนชุดนี้คือ “ทีมแห่งอนาคต” ที่เวียดนามตั้งใจปั้นให้เป็นสุดยอดทีม “เบอร์ 1” แห่งภูมิภาคนี้ และต่อยอดให้ถึงระดับทวีปให้ได้
ซึ่งบอกเลยว่าตอนนี้ใกล้เคียงเป้าหมายนั้นเต็มทีแล้ว
นี่คือ “สัญญาณอันตราย” ที่บ่งว่าต่อไปทีมฟุตบอลไทยของเราจะไม่ใช่ “เต้ย” ของอาเซียนอีกต่อไปแล้ว
เราอาจเคยปลอบใจตัวเองว่า “อันดับโลก” ในแรงกิ้งฟีฟ่าที่เวียดนามเหนือกว่าไทยนั้นเป็นแค่ภาพลวงตา
แต่ผมว่าอนาคตอันใกล้ (หรือจะเป็นตอนนี้แล้วก็ไม่รู้) มันกำลังจะเป็นเรื่องจริงๆแล้วล่ะ!
เอาแค่เอเชียนเกมส์ปีนี้ ลองวัดดูก็ได้ว่าผลงานของเราจะเป็นเช่นไร ถ้าทำการบ้านเตรียมทีมไม่รัดกุมพอ
ทำ “ฟุตบอล” ต้องอยู่กับความเป็นจริงครับ ต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป
ไม่ใช่ “มโน” วาดวิมานในอากาศไปเองว่าเราแพ้วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดี ที่เลิศหรูกว่าในวันข้างหน้า
ก็ในเมื่อการกระทำภาคปฏิบัติ รวมทั้งบุคลากรที่มีในปัจจุบันยังไม่เคยตอบโจทย์กับความเป็นไปอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง
แล้วอย่างนี้มันจะไปเอาผลงานที่ดีมาจากไหนกันเล่า!
จะว่าไปผมว่าท่านนายกลูกหนัง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ท่านเป็นคนตั้งใจดี และมีความมุ่งมั่นที่อยากจะเห็นทีมชาติไทยพัฒนาก้าวไปข้างหน้า
เพียงแต่องค์ประกอบในสภาลูกหนังหลายๆส่วนยังดูอ่อนด้อย ขาดซึ่งประสบการณ์
คล้ายกับพวกที่เก่งแต่ตัวหนังสือในตำรา แต่พอเอาเข้าจริงกลับทำงานไม่เป็นสับปะรด ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรกันซักกะอย่าง
ลองกวาดสายตาดูดีๆเถอะครับ ว่าจริงหรือเปล่าอย่างที่ผมบอก
บอลไทยไปบอลโลกคงจะเป็นแค่การ “สานฝัน” ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ายังใช้คนสเปกนี้ทำงานอยู่
หรือไม่ก็รอดูเวียดนามไปชูธงในเวิลด์คัพก่อนก็ได้
ค่อยมาคิดสังคายนากัน!!!
บี บางปะกง