ไทยรัฐออนไลน์
“สมเกียรติ จันทรา” ยอดนักบิดประวัติศาสตร์ชาวไทย พบปะแฟนคลับอย่างใกล้ชิดภายในงาน Motor Expo 2023 เจ้าตัวขอบคุณทุกกำลังใจ หวังยกระดับอีกครั้งในฤดูกาลหน้า
ความเคลื่อนไหวของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เจ้าของรถแข่งหมายเลข 35 จากสังกัด “อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย” สร้างผลงานอย่างร้อนแรงในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก รุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปียนชิพ 2023 ด้วยการคว้า 2 โพเดียม คือ ชัยชนะที่ประเทศญี่ปุ่น และปลดล็อกคว้าโพเดียมโฮมเรซในศึก “ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์” ส่งผลให้รั้งอันดับ 6 ของโลก ด้วยคะแนนสะสมทั้งสิ้น 173.5 คะแนน เป็นนักบิดไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้
ซึ่งทาง ก้อง สมเกียรติ จันทรา เดินทางเข้าร่วมกิจกรรม “ฮอนด้า เรซซิ่ง แตงส์ เดย์ 2023” (Honda Racing Thanks Day 2023) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ สนาม โมบิลิตี้ รีสอร์ต โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น ที่นักแข่งในสังกัด HRC เข้าร่วมอาทิ มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 8 สมัย และ มักซ์ เวอร์สแท็พเพ่น แชมป์โลกฟอร์มูล่าวัน 3 สมัยล่าสุด ซึ่งพิสูจน์ได้ถึงความสำเร็จอย่างมากของนักบิดไทยรายนี้
“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ได้เดินทางกลับถึงประเทศไทย และร่วมงาน “แฟนมีตติ้ง” ซึ่งจัดขึ้นโดย “ไทยฮอนด้า” ที่บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ภายในงานมหกรรมยานยนต์ Motor Expo 2023 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ท่ามกลางการต้อนรับของแฟนชาวไทยอย่างเนืองแน่น ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ล่าสุด “ก้อง" สมเกียรติ จันทรา กล่าวว่า “ปีนี้เป็นอีกปีที่ผมเติบโตขึ้นและทำงานอย่างหนักเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้คือท็อปไฟว์ โดยรวมผมพอใจผลงานมากครับ ถึงแม้เราจะพลาดเป้าไปนิดเดียว แต่พัฒนาการไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะชัยชนะกับสถิติที่ ญี่ปุ่น และ โพเดียมในเมืองไทย ที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง รวมถึงการตอบแทนแรงสนับสนุนจากแฟนๆ ชาวไทยทุกคนด้วย”
“ผมอยากขอบคุณชาวไทยทุกคนที่ส่งแรงใจเชียร์ และอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าสนามนั้นๆ จะทำผลงานได้ดีหรือไม่ก็ตาม ทำให้ผมมีแรงฮึดสู้สำหรับการแข่งขันตลอดทั้งฤดูกาล และขอขอบคุณ ไทยฮอนด้า อย่างมากที่ผลักดันผมและน้องๆ นักแข่ง แบบเต็มกำลังเพื่อไปสู่เป้าหมายของโครงการ เรซ ทูเดอะ ดรีม ที่จะก้าวสู่ โมโตจีพีให้ได้ในปี 2025”
ทั้งนี้ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา จะใช้เวลาช่วงพักฤดูกาลราว 3 เดือน เพื่อพักผ่อนและเก็บตัวฝึกซ้อมร่างกายในประเทศไทย ก่อนจะลุยศึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปียนชิพ 2024 ด้วยเป้าหมายที่สูงขึ้น