โจโจ้
ทำเอาบรรดาสมาคมกีฬาเบิกบานใจไปตามๆกัน เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สั่งเดินหน้าโครงการ “1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ พลัส” ในทันที โดยให้เริ่มทยอยจับคู่ภายใน 2 เดือนด้วยงบประมาณอุดหนุน 1,300-1,500 ล้านบาท ต่อ 4 ปี
โครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2548 การนำกลับมาครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนขอบเขตการสนับสนุนให้กว้างมากขึ้น มีการดึงภาคเอกชนมามีส่วนร่วมมากกว่าเดิม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับวงการกีฬาไทย
พร้อมกำหนดกรอบแนวทางการสนับสนุนโดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ ทั้งเรื่องความเป็นสากลของกีฬา, ความนิยมและความสนใจของประชาชนต่อกีฬา, ผลงานของสมาคมกีฬาที่ผ่านมา, แผนงานในการพัฒนาของสมาคมกีฬาและความโปร่งใสในการบริหารจัดการของสมาคมกีฬาและการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของสมาคมกีฬา
ต้องยอมรับการเตรียมความพร้อมของแต่ละสมาคมกีฬาในการลงสู้ศึกรายการนานาชาติอย่าง ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ โอลิมปิกเกมส์ เอเชียนอินดอร์เกมส์ รวมถึงการส่งไปตระเวนแข่งทัวร์นาเมนต์ต่างๆ
ทุกทัวร์นาเมนต์ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งสิ้นเพราะนอกจากผลงานและชื่อเสียงของประเทศแล้ว บางรายการยังส่งผลถึงแรงกิ้งอันดับโลกอีกด้วย เพราะการเก็บคะแนนนั้นเพื่อให้นักกีฬาแต่ละคนได้มีโอกาสที่จะได้สิทธิ์ไปสู่เป้าหมายสูงสุดเข้าร่วมชิงชัย “โอลิมปิกเกมส์”
ดังนั้น งบประมาณถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของแต่ละสมาคมกีฬา จริงอยู่ทุกสมาคมล้วนต้องมีสปอนเซอร์ที่เข้ามาสนับสนุนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อให้นักกีฬาแต่ละคนประสบความสำเร็จในเกมสูงสุด
นี่ยังไม่รวมในบางครั้งที่แต่ละสมาคมกีฬาต้องเสนอตัวในการเป็นเจ้าภาพจัดรายการสำคัญเพื่อหวังผลระยะยาวโดยเฉพาะโควตาโอลิมปิกเกมส์
เมื่อใดที่งบประมาณสะดุดแผนงานทุกอย่างที่แต่ละสมาคมวางไว้ต้องพลอยสะดุดไปด้วย
“นายกฯเศรษฐา” เป็นคนที่รักในเรื่องกีฬาอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะเข้าใจหัวอกคนกีฬาเป็นอย่างดี การปัดฝุ่นโครงการนี้อีกครั้งจะทำให้เป้าหมายที่แต่ละสมาคมวางไว้ขยับเข้าใกล้มากขึ้น
ยิ่งปีหน้ามีรายการสำคัญที่ทัพนักกีฬาไทยต้องลงชิงชัย “ปารีสเกมส์ 2024” ที่ถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องไขว่คว้าเหรียญทองให้ได้มากที่สุด
การสั่งเดินหน้าโครงการในทันทีนับว่ามาทันเวลาพอดิบพอดี เพราะหากนับช่วงเวลาต่อจากนี้ยังมีมากพอ ที่สำคัญจะส่งผลระยะยาวถึงความสำเร็จต่อเกมสำคัญในอนาคต
แบบนี้ได้ใจคนวงการกีฬาไปเต็มๆ.
โจโจ้