บี บางปะกง
ภายหลังอดีตนักหวดลูกพลาสติกทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์ และซีเกมส์หลายสมัย ดับเครื่องชนด้วยการออกมาแฉถูกสตาฟฟ์โค้ชเรียกรับส่วนแบ่งจากเงินอัดฉีดของนักกีฬาเมื่อเร็วๆ นี้นั้น
สะท้อนให้เห็นว่าในวงการกีฬาบ้านเราการแสวงหาผลประโยชน์ หรือทำนาบนหลังคน (นักกีฬา) เป็นหนึ่งในหลุมดำที่เกาะเกี่ยวกับวงการในทุกระดับมาอย่างต่อเนื่อง
ปรากฏการณ์การ “หักหัวคิว” หรือเอาเปรียบนักกีฬา ใช่ว่าจะเกิดกับนักกีฬาในระดับทีมชาติเท่านั้น แต่หากเจาะลึกลงจะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งที่นักกีฬาทั้งระดับจังหวัด และสถานศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันในรายการต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ประสบมาแล้วเช่นกัน
สำหรับการทุจริตในวงการกีฬาใช่ว่าจะเกิดเฉพาะการแสวงหาผลประโยชน์จากนักกีฬาเท่านั้น แต่ในส่วนของการบริหารจัดการโดยเฉพาะในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬาไม่ว่าระดับชาติ หรือระดับรองๆ อย่างท้องถิ่น และสถานศึกษา ก็ล้วนแล้วแต่มีเหลือบเข้าไปปะปนในการเกาะกินอยู่เช่นกัน
ที่น่าสนใจหากพิจารณาถึงผู้ที่เข้ามาสู่วงการกีฬาต้องยอมรับว่าบุคคลกลุ่มนี้ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง หรือหน้าที่ใด ทุกคนต่างทราบดีเมื่อก้าวเข้ามาแล้ว หนึ่งในมิติที่ต้องยึดเป็นวัตรปฏิบัติคือการเสียสละเพื่อส่วนร่วม ภายใต้ “SPIRIT”
อย่างไรก็ตามดังที่ทราบกันดีว่าในสังคมนั้นมีทั้งคนดี และคนไม่ดีปะปนกันไป ยิ่งในสังคมกีฬาก็เช่นกัน บุคคลที่เข้ามากลุ่มหนึ่งต่างเสียสละเพื่อชาติ และส่วนรวม
แต่อีกกลุ่มทำตัวเป็นนักบุญใจพระ แต่เบื้องหลังเป็นผู้ที่คอยจะจ้องเก็บเกี่ยว หรือเกาะกินเม็ดเงินที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน หรือในภาคส่วนของการสนับสนุนจากภาคเอกชนก็มีให้เห็นอยู่เช่นกัน
การแสวงหาผลประโยชน์ หรือทุจริตในวงการกีฬาในบ้านเรานั้นเป็นที่น่าแปลกใจว่าจากอดีตถึงปัจจุบันปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาโลกแตก หรือหนึ่งในมะเร็งร้ายที่ภาครัฐ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้
จากที่มาของกระบวนการหักหัวคิว ประกอบกับการที่อดีตนักกีฬาทีมชาติยอมเจ็บตัวออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของผู้ฝึกสอนที่กระทำกับตนเองและเพื่อนร่วมทีม เมื่อครั้งที่ได้เข้ามารับใช้ชาติ และเสียสละเพื่อชื่อเสียงของประเทศ ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่เมืองกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ดังที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น
ในประเด็นนี้หากมองในมิติของการสร้างสรรค์และจรรโลงไว้ซึ่งความดีงามในวงการกีฬาไทย ต้องถือว่านักกีฬา หรือบุคคลดังกล่าวควรที่จะได้รับการชื่นชมและยกย่อง
ยิ่งวันนี้เมื่อสมาคมกีฬาตะกร้อฯ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของอดีตนักหวดลูกหวายต้องตกเป็นจำเลยของสังคมด้วยแล้ว เชื่อว่านายใหญ่ถอดด้ามอย่าง “บิ๊กต้อม” ธนา ไชยประสิทธิ์ คงจะได้สะสางประเด็นดราม่า และทำให้ความจริงปรากฏอย่างเร็ววัน
ขณะเดียวกัน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะองค์กรหลักที่มีบทบาทในการรับผิดชอบต่อการขับเคลื่อนการพัฒนากีฬาชาติ ก็ควรที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการค้นหาความจริง และกำหนดมาตรการป้องกันทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
ต่อกรณีนี้เพื่อความโปร่งใส และรักษาไว้ซึ่งขวัญกำลังใจของเหล่าบรรดานักกีฬา ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยก็ได้ออกโรงด้วยการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ประสานเพื่อตรวจสอบกับนักกีฬาที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกันนั้นผู้ว่าการกกท.ยังระบุอีกว่า เรื่องแบบนี้ทำไม่ได้ นักกีฬา หรือโค้ชก็ควรที่จะได้รับเงินรางวัลในส่วนของตนเองแบบเต็มๆ ไม่ควรหักเงินอะไร และจะดำเนินการให้เด็ดขาด ใครผิดอะไรต้องลงโทษว่ากันไปตามเนื้อผ้า
โจทย์ในการป้องกัน และแก้ปัญหาการแสวงหาผลประโยชน์ หรือทุจริตในวงการกีฬาจะหมดไปหรือไม่อย่างไร
คนในวงการกีฬาเท่านั้นคือผู้ที่ให้คำตอบที่ดีที่สุด
รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร
ไม่ใช่แค่ “ตะกร้อ” หรอกครับ
แต่ปัญหา เหลือบ ริ้น ไร ที่จ้องเข้ามาหากินด้วยการ “หักหัวคิว”
มีมาช้านานแล้วสำหรับวงการกีฬาบ้านเรา
นี่คือสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจนักกีฬา...ให้หดหายมาโดยตลอด
ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันชำระสะสางสิ่งสกปรกเหล่านี้ให้หมดไป (ซะที)
หนทางพัฒนากีฬาไทย...ให้เจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่
ก็คงเป็นเรื่องลำบาก!!!
- บี บางปะกง -
joggingboy_be@yahoo.com