ไทยรัฐฉบับพิมพ์
เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในการเป็นเจ้าภาพรายการรถแข่งระดับนานาชาติ อย่างต่อเนื่อง ในศึกซุปเปอร์คาร์ระดับโลก “ปอร์เช่ คาร์เรร่า คัพ เอเชีย 2023” (Porsche Carrera Cup Asia) สนาม 7 และสนาม 8 ของฤดูกาล ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยแชมป์สนาม 7 ตกเป็นของ คริส วาน เดอร์ ดริฟต์ นักแข่งชาวนิวซีแลนด์จากทีมเซี่ยงไฮ้ ยอนด้า ขณะที่แชมป์สนาม 8 หลิว ไคลู ยอดนักแข่งจีนจากโทโร่ เรซซิ่ง คว้าแชมป์ไปครอง
ทำให้ทั้งสองคนต่างยังมีโอกาสลุ้นแชมป์ในสนามที่เหลือต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม คงต้องบอกว่ารายการนี้ได้สร้างความสำเร็จให้กับสนามช้างฯ สังเวียนระดับโลกของคนไทยเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะรายการนี้เป็นรายการสำคัญ และอยู่ในความสนใจของบรรดาคอมอเตอร์สปอร์ตทั้งหลายเป็นอย่างมาก
ดังจะเห็นได้ว่ามีคิวประลองความเร็วทั้งสิ้น 14 สนาม ใน 5 ประเทศชั้นนำของทวีปเอเชีย ประกอบด้วย มาเลเซีย, เกาหลี, ญี่ปุ่น, จีน, สิงคโปร์ และไทย
ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เผยว่า สำหรับการเป็นเจ้าภาพซุปเปอร์คาร์ระดับโลก “ปอร์เช่ คาร์เรร่า คัพ เอเชีย 2023” ที่ไทยนั้น ถือเป็นความสำเร็จของทางสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต
ซึ่งจะทำให้เราสามารถต่อยอด เพื่อที่จะเป็นเจ้าภาพรายการอื่นๆในอนาคตข้างหน้า
และหลังจากนี้สนามช้างฯ ยังมีโปรแกรมที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันอีกหลายรายการ
โดยเฉพาะเรซที่สำคัญที่สุดอย่าง “โมโตจีพี” รายการ “โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2023” (OR THAILAND GRAND PRIX 2023) ซึ่งจะชิงชัยที่สนามช้างฯแห่งนี้ ในระหว่างวันที่ 27-29 ต.ค. ที่กำลังจะมาถึง
รวมถึงในอนาคตจะมีเรซระดับโลก และระดับอินเตอร์เนชั่นแนล มาดวลความเร็วต่อเนื่องแน่นอน
สำหรับ “ปอร์เช่ คาร์เรร่า คัพ เอเชีย 2023” ในบ้านเราที่เพิ่งปิดฉากลงไป คือแมตช์ระดับอินเตอร์ยอดนิยม
ดังนั้น ในครั้งนี้ ไม่ใช่ความสำเร็จเฉพาะของสนามช้างฯเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หากแต่ยังถือเป็นการยกระดับวงการมอเตอร์สปอร์ตของเมืองไทยขึ้นไปอีกขั้น
เป็นการสร้างการยอมรับในระดับโลก.
ยุบสภา