เบี้ยหงาย
ยังอึมครึม มองไม่เห็นวันอันสดใส สำหรับการเมืองไทยในวันนี้ ที่แม้ว่าผลการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชนคนไทยจะออกมานานแล้ว และออกมาด้วยความชัดเจนเหลือหลาย แต่ก็ไม่อาจฝ่ากลไกแห่งอำนาจเก่าที่ปกคลุม และแฝงยึดในฟันเฟืองต่างๆมาอย่างยาวนาน
คล้ายกับว่าประชาชนใช้สิทธิ์ใช้เสียงหย่อนบัตร แต่ก็หมดสิทธิ์หมดเสียงทันทีตั้งแต่วันนั้น!
และไม่เพียงหมดสิทธิ์หมดเสียง แต่ยังถูกยกอ้างเป็นเป้าหมายที่ปลายทาง ไม่ว่าสูตรไหน พฤติกรรมใด จะถูกต้อง เหมาะสม หรือน่ารังเกียจเช่นใด ก็ล้วนแต่มีประชาชนเป็นหมุดหมายทั้งสิ้น
ก็ไม่รู้ว่า ประชาชน สังคม รวมถึง “ชาติ” ที่ยกอ้างกันนั้น มันคือผู้คนร่วมแผ่นดินเดียวกันหรือเปล่า ทำไมวิธีการ และแนวคิดมันแตกต่างกันขนาดนั้น
ไม่ว่าการเมืองภาพใหญ่จะออกมาอย่างไร ครั้งนี้จะเกี่ยวพันโดยตรง และรวดเร็วเสียด้วย กับพันธกิจด้านกีฬาของชาติ ซึ่งมากกว่ายุคไหนๆอย่างแน่นอน
ด้วยอดีตนั้น ใครเป็นรัฐบาลแล้วยังต้องรอดูว่า ใครจะมาคุมกีฬา ก่อนจะไปดูถึงทีมงานและโครงข่ายที่จะเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง แต่ปัจจุบันผู้ที่ยึดวงการกีฬาอยู่ยามนี้เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งคุมหมดแบบเบ็ดเสร็จในทุกกลไก ตั้งแต่นโยบาย การบังคับบัญชา และรวมถึงการจับจ่ายใช้เงิน
ดำรงอยู่ในฐานะประธานบอร์ดการกีฬา บอร์ดกองทุนฯ และประธานโอลิมปิกไทย ชนิดที่ รมต.เจ้ากระทรวงทำอะไรไม่ได้มากนัก ว่ากันไปตามพิธีกรรมและบทบาทหน้าที่ทางราชการ แต่ส่วนอื่นๆได้แต่มองตาปริบๆ
และการเข้ามาควบคุมวงการกีฬาที่ผ่านมานั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาพร้อมพรั่งด้วยเครือข่ายที่วางไว้ในจุดต่างๆอย่างครอบคลุม
ที่สำคัญการเมืองในภาพใหญ่ขณะนี้ “บิ๊กป้อม” คนเดียวกันนี้แหละ ในบริบทของหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งแม้จะแพ้การเลือกตั้งอย่างไม่อาจเทียบเคียงกับ 2 พรรคใหญ่ แต่กลับกลายเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เริ่มจะกล้าแข็งและมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ อันผกผันตามสถานการณ์ความไม่แน่นอนในขณะนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ งานกีฬาของชาติ มองเห็นกันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปลุ้นอะไรเหมือนอดีต หากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพลิกผันมาอยู่ในมือของ พล.อ.ประวิตร วงการกีฬาย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
บริวารเครือข่ายต่างๆยังคงเดิม!
ส่วนการ “คงเดิม” ที่ว่านั้น จะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องร้าย สังคมคนกีฬาที่ประสบพบเจอมา ย่อมประเมินดูเองได้!!!
แต่หากการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลเป็นไปตามครรลอง ตามเสียงส่วนใหญ่ที่ประชาชนแสดงเจตจำนงเลือกมา ที่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองนี้ ผลพวงก็จะเกิดกับวงการกีฬาอีกแบบ
นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงก็ย่อมล้อตามไปในทันที
นี่จึงเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง และกีฬาไทย...
“เบี้ยหงาย”