หน้าแรกแกลเลอรี่

จังหวะหายใจ

ฟ้าคำราม

18 มิ.ย. 2566 05:14 น.

เทคนิคการสร้างจังหวะในการหายใจให้มีความสัมพันธ์กับการลงเท้าที่ถูกต้อง เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้เราสามารถวิ่งได้นานขึ้น

อีกทั้งเทคนิคนี้ยังช่วยให้มีลมหล่อเลี้ยงได้อย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ปอดและกล้ามเนื้อกระบังลมของเราทำงานสัมพันธ์กัน ลดการเกิดอาการจุกเสียดระหว่างวิ่งด้วย

โดยปกติแล้วการหายใจจะมี 2 วิธี คือ

1.หายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครง หรือหายใจด้วยหน้าอก

การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครงคือ หน้าอกจะขยายออกเมื่อหายใจเข้า พร้อมกับหน้าท้องจะยุบลง ส่วนเวลาหายใจออกจะสังเกตได้ว่าหน้าท้องจะขยายและหน้าอกยุบลง การหายใจลักษณะนี้จะทำให้ออกซิเจนเข้ากล้ามเนื้อไม่เพียงพอ ทำให้เราต้องหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิม

การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครงจะทำให้เวลาที่วิ่งนานๆหรือวิ่งเร็วๆจะมีอาการจุกเสียดชายโครงได้ง่าย ทั้งนี้ ให้ลองสังเกตดูว่าเวลาวิ่งเรามักจะหายใจแบบนี้หรือไม่ ถ้าใช่ก็ควรเปลี่ยนมาฝึกการหายใจด้วยวิธีที่ 2

2.หายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม หรือหายใจด้วยท้อง

การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมคือ การหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าไปในปอดให้มากที่สุด โดยเมื่อหายใจเข้า กล้ามเนื้อกระบังลมจะเคลื่อนตัวลงทำให้ลมเข้าไปในปอด

จะสังเกตได้ว่าหน้าท้องพองขึ้น เมื่อหายใจออกกล้ามเนื้อกระบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น หน้าท้องจะยุบลง ซึ่งวิธีการหายใจแบบนี้จะเป็นผลดีในการวิ่งมากกว่า เพราะเวลาที่เราวิ่งจะไม่เกิดอาการจุกเสียดที่บริเวณชายโครง แม้ว่าจะวิ่งต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานก็ตาม

และการหายใจด้วยหน้าท้องมีส่วนช่วยให้หายใจเข้าและออกได้อย่างเต็มปอดมากขึ้น จึงช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย

ดังนั้น ในการเริ่มฝึกหายใจขณะวิ่งนั้น อย่างแรกคือ การฝึกหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมนั่นเอง

การฝึกหายใจขณะวิ่ง เราควรหาจังหวะหายใจที่เหมาะกับตัวเอง เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานร่างกายที่แตกต่างกัน

และนอกจากนี้สิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือการฝึกซ้อมวิ่งและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันอาการบาดเจ็บ

@@@@@@

เพจ ThaiRun ฮับความสุขนักวิ่ง บอกถึงเทคนิคการสร้างจังหวะหายใจ ให้สอดคล้องกับจังหวะวิ่งของเราเอาไว้อย่างชัดเจนทีเดียว

ใครที่สนใจนำเอาไปฝึกฝน นำไปต่อยอด

จะช่วยให้เราวิ่งได้นานขึ้น วิ่งได้อึดขึ้น

กว่าเดิมแน่นอน...

ฟ้าคำราม