ฟ้าคำราม
เทคนิคการสร้างจังหวะในการหายใจให้มีความสัมพันธ์กับการลงเท้าที่ถูกต้อง เป็นเทคนิคที่จะช่วยให้เราสามารถวิ่งได้นานขึ้น
อีกทั้งเทคนิคนี้ยังช่วยให้มีลมหล่อเลี้ยงได้อย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ปอดและกล้ามเนื้อกระบังลมของเราทำงานสัมพันธ์กัน ลดการเกิดอาการจุกเสียดระหว่างวิ่งด้วย
โดยปกติแล้วการหายใจจะมี 2 วิธี คือ
1.หายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครง หรือหายใจด้วยหน้าอก
การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครงคือ หน้าอกจะขยายออกเมื่อหายใจเข้า พร้อมกับหน้าท้องจะยุบลง ส่วนเวลาหายใจออกจะสังเกตได้ว่าหน้าท้องจะขยายและหน้าอกยุบลง การหายใจลักษณะนี้จะทำให้ออกซิเจนเข้ากล้ามเนื้อไม่เพียงพอ ทำให้เราต้องหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิม
การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครงจะทำให้เวลาที่วิ่งนานๆหรือวิ่งเร็วๆจะมีอาการจุกเสียดชายโครงได้ง่าย ทั้งนี้ ให้ลองสังเกตดูว่าเวลาวิ่งเรามักจะหายใจแบบนี้หรือไม่ ถ้าใช่ก็ควรเปลี่ยนมาฝึกการหายใจด้วยวิธีที่ 2
2.หายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลม หรือหายใจด้วยท้อง
การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมคือ การหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าไปในปอดให้มากที่สุด โดยเมื่อหายใจเข้า กล้ามเนื้อกระบังลมจะเคลื่อนตัวลงทำให้ลมเข้าไปในปอด
จะสังเกตได้ว่าหน้าท้องพองขึ้น เมื่อหายใจออกกล้ามเนื้อกระบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น หน้าท้องจะยุบลง ซึ่งวิธีการหายใจแบบนี้จะเป็นผลดีในการวิ่งมากกว่า เพราะเวลาที่เราวิ่งจะไม่เกิดอาการจุกเสียดที่บริเวณชายโครง แม้ว่าจะวิ่งต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานก็ตาม
และการหายใจด้วยหน้าท้องมีส่วนช่วยให้หายใจเข้าและออกได้อย่างเต็มปอดมากขึ้น จึงช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย
ดังนั้น ในการเริ่มฝึกหายใจขณะวิ่งนั้น อย่างแรกคือ การฝึกหายใจด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมนั่นเอง
การฝึกหายใจขณะวิ่ง เราควรหาจังหวะหายใจที่เหมาะกับตัวเอง เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานร่างกายที่แตกต่างกัน
และนอกจากนี้สิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือการฝึกซ้อมวิ่งและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันอาการบาดเจ็บ
@@@@@@
เพจ ThaiRun ฮับความสุขนักวิ่ง บอกถึงเทคนิคการสร้างจังหวะหายใจ ให้สอดคล้องกับจังหวะวิ่งของเราเอาไว้อย่างชัดเจนทีเดียว
ใครที่สนใจนำเอาไปฝึกฝน นำไปต่อยอด
จะช่วยให้เราวิ่งได้นานขึ้น วิ่งได้อึดขึ้น
กว่าเดิมแน่นอน...
ฟ้าคำราม