หน้าแรกแกลเลอรี่

สอบเรื่องฉาวกองทุนกีฬายืดเยื้อ ยิ่งเสียโอกาสพัฒนากีฬาไทย

ลมกรด

15 มี.ค. 2566 06:59 น.

ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ผู้จัดการกองทุนกีฬาพาทนายความออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวตำหนิติเตียนและขู่ฟ้องผู้ว่าการการกีฬาฯ ทั้งยังปฏิเสธอำนาจของผู้ว่าการการกีฬาฯในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนความไม่โปร่งใสในการใช้เงินกองทุน เพิ่งได้เห็นครั้งแรกในไทยนี่แหละ ทำเอาวงการกีฬางงงันไปตามๆกัน

การตรวจสอบการใช้เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเป็นปัญหาค้างคามานานกว่า 3 เดือน โดยในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้เริ่มมีเสียงร่ำลือในสมาคมกีฬาต่างๆเกี่ยวกับการขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ทำนองว่าถ้าอยากได้รับเงินสนับสนุนเร็วก็ต้อง มีการหักส่วนหนึ่งส่งผู้ใหญ่

จนเมื่อวันที่ 30 พ.ย.65 มีผู้ทำหนังสือถึง ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาฯแห่งประเทศไทย (กกท.) ร้องทุกข์ กรณีได้รับ ผลกระทบจากการบริหารจัดการเงินสนับสนุนการกีฬาอย่างไม่เป็นธรรม แต่ผู้ทำหนังสือไม่กล้าลงชื่อ เพราะเกรงกลัว อิทธิพลพวกบิ๊กๆ ที่อยู่เบื้องหลังจ้องหาผลประโยชน์ในวงการกีฬา

แม้ผู้ร้องไม่กล้าเปิดเผยตัวตน แต่ ดร.ก้องศักดได้ตั้ง คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริง ประกาศจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพราะข่าวดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์ของ กกท.และกองทุนฯ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องส่งเอกสารชี้แจง แต่จนพ้นกำหนดก็ยังไม่มีการชี้แจงใดๆ

ต่อมา สหพันธ์สมาคมกีฬาชาติ (FONSA) ได้ออกหน้าเป็นตัวแทน สมาคมกีฬา ส่งเรื่องร้องเรียนไปถึงผู้ว่าการ กกท.ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเช่นกัน คราวนี้มีการลงชื่อเปิดเผยตัวตนชัดเจนในหนังสือร้องเรียน ก่อนที่ คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงจะพบว่าข้อร้องเรียนมีมูล จนกระทั่งมีการตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นชุดที่ 2 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.66

ปรากฏว่าหลังจากนั้น ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนฯ พร้อมทนายความ ได้ออกมาเปิดแถลงชี้แจงข้อกล่าวหาในบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนการทำหน้าที่โดยมิชอบ 11 ข้อว่า เรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง ไม่เคยให้เงินสหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เชื่อว่ามูลจูงใจของบัตรสนเท่ห์มาจากการไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลในวงการกีฬา และเตรียมดำเนินคดีกับ กกท.ที่ให้ข่าวข้อมูลเป็นเท็จ

ส่วนกรณี กกท.แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่ 2 ดร.สุปราณีมีท่าทีไม่ยอมรับ และจะไม่ไปชี้แจง เพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องและ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมประกาศว่าผู้จัดการกองทุนฯถูกว่าจ้างโดยกองทุนฯ เป็นลูกจ้างของกองทุนฯ ไม่ใช่ลูกจ้างของ กกท.

ขณะที่ ดร.ก้องศักดให้สัมภาษณ์ตอบโต้ว่า กองทุนฯเป็นส่วนหนึ่งของ กกท. ตำแหน่งผู้จัดการกองทุนฯเกิดจากข้อบังคับของ กกท. ที่สำคัญกองทุนฯไม่ใช่นิติบุคคล จึงอยู่ภายใต้ กกท.อย่างชัดเจน ส่วน การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้อำนาจและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทุนฯ อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อวงการกีฬาของประเทศนั้นได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายอย่างถูกต้อง

ดูท่าปัญหาคงจะยืดเยื้อ และยังไม่มีองค์กร หรือบุคคลใด มาชี้ขาด ว่าขอบเขตอำนาจระหว่างองค์กรที่ซับซ้อนกันเช่นนี้ จะมีหน่วยงานไหนเป็นผู้ตรวจสอบข้อร้องเรียน เคลียร์ข้อครหาต่างๆ

ที่สำคัญเสียงร่ำลือหักเงินส่งผู้ใหญ่ เป็นการอ้างส่งถึงผู้ใหญ่ “ฝ่ายการเมือง” เสียด้วย จะจริงเท็จอย่างไรสังคมยังเฝ้ารอการพิสูจน์

วันนี้ผมขอเรียกร้องให้ คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแล กกท. และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ โดดลงมาดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้เรื่องคาราคาซังอีกเลย

ยิ่งยืดเยื้อประเทศยิ่งเสียโอกาส ฉุดรั้งการพัฒนากีฬาไทยสู่มาตรฐานสากล และทำลายขวัญกำลังใจนักกีฬาไทย.

“ลมกรด”