เบี้ยหงาย
ดูเหมือนจะมีการเฟ้นหาจังหวัดเจ้าภาพจัดกีฬาอยู่ 2 รายการในช่วงนี้ เริ่มจากกีฬาเดี่ยวๆที่อัป เกรดขึ้นมา มีความสำคัญในระยะหลังๆ อย่างฟุตบอลทีมชาติไทย ที่จะต้องเล่นในช่วงปฏิทินฟีฟ่าเดย์ อันถือเป็นระดับนานาชาติ “เอแมตช์” ที่มีผลต่อการคิดคะแนนจัดอันดับโลก
ซึ่งช่วงเวลาต่อไปที่จะมาถึง มีระหว่างวันที่ 20-28 มี.ค.2566 และ 12-20 มิ.ย.2566 นั่นทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯเปิดรับสมัครจังหวัดที่สนใจ พร้อมบอกเงื่อนไข หลักเกณฑ์ มาอย่างละเอียดยิบ จังหวัดไหนคิดว่าทำได้ และมีความพร้อมอยากเสนอตัวก็ว่ากันไป เปิดรับจนถึง 31 ธ.ค.2565
อันนี้เหตุและผลดูเหมือนจะชี้ไปว่า เพื่อเป้าหมายเกิดการพัฒนาในด้านศักยภาพการจัดการกีฬา ยกระดับสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา กระตุ้นเศรษฐกิจ สังคม และความภาคภูมิใจ
ส่วนจะมีใครคิดว่าเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ของสมาคมพ่วงไปด้วยก็แล้วแต่จะวิเคราะห์กัน แต่ที่แน่ๆในระยะหลัง ทั้งที่ศรีสะเกษ และเชียงใหม่ เกิดความตื่นตัวอย่างยิ่งจนเป็นปรากฏการณ์ที่แฟนบอลจังหวัดท้องถิ่น และใกล้เคียงให้ความสนใจ สนับสนุนเข้าไปเชียร์กันมากมาย เป็นภาพลักษณ์ที่ดีเยี่ยม
ส่วนอีกรายการ เป็นมหกรรมกีฬาที่สำคัญของชาติในอาเซียน นั่นก็คือ กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2025 หรือ พ.ศ.2568 โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพตามวงรอบ แต่กำลังพิจารณาว่าจะจัดขึ้นที่จังหวัด หรือกลุ่มจังหวัดใด ซึ่งก็ควรรู้กันภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้า ด้วยมีคิวที่จังหวัดเจ้าภาพนั้นจะต้องเตรียมการแสดงและเปิดตัวไปรับมอบธงซีเกมส์ ในพิธีปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 32 ซึ่งกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ช่วง 5-17 พ.ค.2566
สรุปมี 14 จังหวัดสนใจ มีทั้งอยากจัดจังหวัดเดียว และรวมกลุ่มจังหวัด ที่แจ้งความจำนงมาที่การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งก็มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา อนุกรรมการชุดนี้ ดูแล้วมีตัวแทนองค์กรต่างๆมาร่วมด้วยหลายแห่ง แต่สุดท้ายคนเคาะก็อยู่ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จะเคาะตาม เคาะต่าง หรือก่อนเคาะจะส่งซิกอะไร ก็สุดแล้วแต่ไปว่ากัน เดี๋ยวคงจะได้เห็นกัน
หลังดูเอกสารเบื้องต้นที่นำเสนอมา ซึ่งคณะอนุกรรมการได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มจังหวัดและจังหวัดเดี่ยว มีกลุ่มที่ 1 กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา, กลุ่มที่ 2 ตรัง กระบี่ ภูเก็ต พังงา และกลุ่มที่ 3 อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีสะเกษ ส่วนจังหวัดเดี่ยวที่เสนอตัว ได้แก่ เชียงใหม่ นครราชสีมา กาญจนบุรี
โดยตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.เป็นต้นไป ก็จะส่งตัวแทนลงพื้นที่ไปดูและเก็บข้อมูลที่เป็นจริง ก่อนมาประชุมร่วมหารือกันอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีการวางกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสำหรับเกมการแข่งขันครั้งนี้ไว้ที่ 2,055 ล้านบาท แยกเป็นจากงบประมาณ 1,683 ล้านบาท, รายรับจากฝ่ายสิทธิประโยชน์ 200 ล้านบาท, ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน 20 ล้านบาท, ค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ของนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ 134 ล้านบาท และค่าลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ 16 ล้านบาท
ก็ต้องรอดูกันว่าจะเลือกสรรกันอย่างไร มีกรอบเงิน กรอบงานให้เห็นแล้ว ส่วนจะเลือกอย่างไร เหตุผลใด ให้เกิดความคุ้มค่า หรือเป็นประโยชน์สูงสุด
จะเน้นประหยัด เน้นยุทธศาสตร์ และยุทธศาสตร์แบบไหน ก็ต้องมีคำอธิบายให้ชัดเจน แต่อธิบายแล้วสังคมเห็นด้วยหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง
แต่หวังว่าที่จะเน้นอะไรนั้น อย่าแปรเปลี่ยนไปเน้นเรื่อง “การเมือง” แล้วกัน กำลังจะเลือกตั้งกันเสียด้วยสิ...
“เบี้ยหงาย”