หน้าแรกแกลเลอรี่

คัดมาให้ สรุป 8 ข่าวดราม่า-สะเทือนใจ วงการกีฬา ปี 2564

ไทยรัฐออนไลน์

29 ธ.ค. 2564 07:10 น.

ตลอดปี 2564 มีเรื่องราวดราม่าและสะเทือนใจในวงการกีฬามากมาย และนี่คือ 8 เหตุการณ์ทั้งหมดที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ที่ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์คัดมาให้

1.เขย่าวงการกีฬา เมื่อ “วาดา” แบนไทย

กลายเป็นดราม่าเขย่าวงการกีฬาไทยในปีนี้ หลังจากที่องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก หรือ วาดา (WADA) ที่ประกาศลงโทษแบนไทย 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. 2564 เป็นต้นมา โดยถูกระบุความผิดไว้ว่า ไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมนูญสารกระตุ้นของวาดา ในด้านการบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้ไทยจะถูกตัดสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ และจะไม่สามารถใช้ “ธงชาติไทย” ในการแข่งขันรายการที่ ไอโอซี และ วาดา เป็นผู้ดูแลจัดการแข่งขัน ซึ่งตอนนี้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกำลังเร่งจัดการเรื่องนี้กันอย่างเต็มที่ ด้วยการเร่งแก้กฎหมายให้เป็นไปตามที่ วาดา กำหนดโดยเร็วที่สุด

“บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า การถูก “วาดา” ลงโทษ เป็นเรื่องของเทคนิค เป็นเรื่องของกฎหมาย ไม่ใช่ความบกพร่องในเรื่องของการตรวจสารต้องห้าม ไม่ใช่ความบกพร่องในเรื่องของการละเลย ไม่ปฏิบัติตามกฎบัตรของวาดา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายของเราไม่สอดคล้องกับระเบียบของวาดาหลายประการ ซึ่งขณะนี้ การกีฬาแห่งประเทศไทยได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้นำส่งบันทึกเสนอร่างฯ พร้อมเอกสารประกอบ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขกฎหมาย และหากได้รับการเห็นชอบ ก็จะเข้าสู่กระบวนการเพื่อประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป

2.“โค้ชเช” ยังไม่ได้สัญชาติไทย! เหลือขั้นตอนอะไรบ้าง?

ถ้าใครได้ติดตามประเด็นที่ “โค้ชเช” เช ยอง ซอก หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมเทควันโดไทย ชาวเกาหลีใต้ ได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนสัญชาติเป็น “คนไทย” โดยใช้ชื่อไทยว่า “ชัชชัย เช” แต่จนถึงตอนนี้ โค้ชเช ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทยเสียที เรามาดูกันว่าเหลือขั้นตอนอะไรบ้าง จากข้อมูลของกรมการปกครอง

ตามที่ปรากฏข่าวสาร กรณีการขอแปลงสัญชาติของโค้ชเช หรือ นายยอง ซอก เช หัวหน้าผู้ฝึกสอนนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ผลงานล่าสุดเป็นผู้ฝึกสอนนักเทควันโดไทย ซึ่งได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 2020 ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยโค้ชเชได้ยื่นเอกสารเพื่อขอแปลงสัญชาติไทย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 นั้น

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ขอนำเรียนเกี่ยวกับขั้นตอนการขอแปลงสัญชาติไทย โดยคุณสมบัติของผู้แปลงสัญชาติเป็นไทย ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 กำหนดว่า

1. บรรลุนิติภาวะแล้ว ตามกฎหมายไทย และกฎหมายที่บุคคลนั้นมีสัญชาติ ตามมาตรา 10 (1)

2. มีความประพฤติดี ตามมาตรา 10 (2) ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม พฤติการณ์ทางการเมือง ยาเสพติด และพฤติการณ์ที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3. มีอาชีพเป็นหลักฐาน ตามมาตรา 10 (3) มีใบอนุญาตทำงาน, มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 80,000 บาท/เดือน โดยแสดงหนังสือรับรองเงินเดือน หรือรายได้ด้วย, มีหลักฐานการเสียภาษีมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ในรอบปีก่อนปีที่ยื่นคำขอ

4. กรณีทำความดีความชอบเป็นพิเศษต่อประเทศไทย หรือทำคุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการ ตามมาตรา 11 (1) แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ได้รับการยกเว้นคุณสมบัติของผู้ขอแปลงสัญชาติ ตามมาตรา 10 (4) ในเรื่องการมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ยื่นคำขอ 5 ปี (มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว) และตามมาตรา 10 (5) มีความรู้ภาษาไทย โดยพูดภาษาไทย และฟังภาษาไทยเข้าใจได้ (ร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี)

ทั้งนี้ ขั้นตอนการดำเนินการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยของคนต่างด้าว รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 730 วัน สำหรับขั้นตอนการดำเนินการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยของ "โค้ชเช" กล่าวโดยสรุปคือ นายยอง ซอก เช บุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ ได้ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ต่อกองบัญชาการ ตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งให้กรมการปกครองดำเนินการในวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยได้นำคำขอเข้าพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การขอถือสัญชาติไทยตามสามี และการขอกลับคืนสัญชาติไทย ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 และนำเข้าพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติ ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564 มติที่ประชุมเห็นควรเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ นายยอง ซอก เช แปลงสัญชาติเป็นไทยได้

ขณะนี้กรมการปกครองอยู่ระหว่างการสรุปเสนอความเห็นให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อใช้ดุลพินิจพิจารณาอนุญาต ซึ่งจะได้แจ้งต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากนั้นผู้ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต จะมาทำพิธีปฏิญาณตนและยืนยันตัวบุคคล แล้วแจ้งต่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศการได้สัญชาติไทยในราชกิจจานุเบกษา และแจ้งให้ผู้ยื่นคำขอทราบ และรับหนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย เพื่อไปดำเนินการเพิ่มชื่อ พร้อมทั้งจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนเป็นบุคคลสัญชาติไทยต่อไป

3.เดฟ เลอดัก ท้าชกบัวขาว-โพสต์หมิ่นมวยไทย

ระอุอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว จากกรณีที่ เดฟ เลอดัก นักชกมวยพม่า (เลธเว่ย) ออกมาท้าทายอยากวัดฝีมือกับ บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักชกขวัญใจชาวไทย ให้มาฟาดปากกันสักตั้ง โดยได้แชร์กติตาสุดเดือดลงในโลกโซเชียล หากได้เจอกับ บัวขาว โดยจะเป็นการชกยกเดียว 9 นาที, ต้องชนะน็อกเท่านั้น, ยืนครบยก 9 นาทีคือเสมอกัน, หมัด, เท้า, เข่า และศอก ใช้ได้หมด และห้ามใช้หัวโขก

นอกจากนี้ เลอดัก ยังพยายามยั่วยุด้วยวิธีต่างๆ รวมไปถึงได้มีการดูหมิ่นมวยไทย แถมด่าลามปามไปถึงนายขนมต้ม พร้อมยกย่องมวยพม่าเป็นการต่อสู้แบบยืนที่มีประสิทธิภาพที่สุด มวยพม่าคือสุดยอดของศิลปะการต่อสู้ แต่สุดท้ายเรื่องดังกล่าวก็ค่อยๆ เงียบลงไป เมื่อ เลอดัก ถูก สมาพันธ์มวยพม่า (มวยลัดเว่ย) แห่งประเทศพม่า ประจำประเทศไทย ประณามถึงการแสดงออกของ เลอดัก ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และคาดว่าการชกระหว่าง เลอดัก กับ บัวขาว คงจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

4.ภรรยานอกสมรส ยื่นฟ้อง "บัวขาว" เรียกค่าเลี้ยงดูลูกสาว

ถือเป็นอีกข่าวที่ได้รับความสนใจในรอบปี หลังจากที่ "เก๋" อัญวีณ์ พรชัยวิบูลย์ ภรรยานอกสมรสของ สมบัติ หรือ "บัวขาว" บัญชาเมฆ ได้ออกมายื่นเรื่องฟ้องต่อศาลเพื่อให้ยอดกำปั้นชาวไทยรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย พร้อมเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นเงินจำนวน 25 ล้านบาท โดยอ้างว่า "บัวขาว" ขาดการติดต่อจากลูกไปนานหลายเดือน ส่งเงินให้ลูกน้อยลง และไม่ยอมคุยเรื่องจดทะเบียนรับรองจริงๆ จังๆ เสียที

ก่อนที่ บัวขาว จะชี้แจงประเด็นต่างๆ ว่า ไม่ได้ทิ้งลูก ด้วยภาพที่ตนเองถ่ายรูปคู่กับลูกสาว พร้อมทั้งสูติบัตรที่มีชื่อของ นายสมบัติ บัญชาเมฆ หรือบัวขาว เป็นบิดาอย่างชัดเจน ต้องมาดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร

5."สุนิสา ลี" นักยิมนาสติกสาวทีมชาติสหรัฐอเมริกาเชื้อสายม้ง โดนเหยียดเชื้อชาติ

เป็นอีกประเด็นที่ถูกพูดถึงในวงการกีฬา เมื่อ "สุนิสา ลี" นักยิมนาสติกสาวทีมชาติสหรัฐอเมริกาเชื้อสายม้ง เผยว่า การคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ไม่ช่วยให้เธอรอดพ้นจากการโดนเหยียดเชื้อชาติ

เจ้าของเหรียญทองประเภทบุคคลรวมอุปกรณ์ในโอลิมปิกเกมส์ 2020 เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอ หลังจบการแข่งขันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ผ่านการให้สัมภาษณ์กับ ป๊อป ชูการ์ (Pop Sugar) สื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้หญิง ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ช่วงหนึ่ง นักยิมนาสติกสาวเชื้อสายม้งวัย 18 ปี เล่าถึงเรื่องน่าตกใจที่เคยเจอระหว่างรอรถอูเบอร์กับเพื่อนๆ ที่มีเชื้อสายเอเชียเหมือนกัน ในนครลอสแอนเจลิส ซึ่งก็มีรถคันหนึ่งมาจอดเทียบข้างทาง ก่อนเปิดกระจก แล้วจู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าตะโกนด่าทอพร้อมกับเหยียดเชื้อชาติ และไล่ให้พวกเธอกลับประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิด ก่อนฉีดสเปรย์พริกไทยใส่แขนของ สุนิสา ลี แล้วขับรถหลบหนีไป

สุนิสา ลี เผยความรู้สึกว่า "ฉันโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ หรือควบคุมไม่ได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้เปิดเผยตัวตน บางครั้งการมีชื่อเสียงก็นำไปสู่ความยากลำบาก เพราะฉันไม่อยากทำอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน หรือมีปัญหา แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยให้มันเกิดขึ้น"

นอกจากนั้น สุนิสา ลี ซึ่งเติบโตในชุมชนผู้อพยพชาวม้งในเมืองเซนต์ปอล ยังบอกอีกว่า เธอไม่กล้าแจ้งตำรวจหากมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เพราะเกรงว่าอาจจะเจอปัญหา หรือได้รับความเดือดร้อนมากกว่าเดิม พร้อมทำใจถึงความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเป้าไปที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต้นกำเนิดในแถบเอเชีย

ด้าน วอชิงตัน โพสต์ สื่อดังของสหรัฐฯ ที่นำเสนอบทสัมภาษณ์ของ สุนิสา ลี ได้เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ก็มีรายงานว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียหลายพันคนถูกคุกคาม หรือถูกทำร้าย ซึ่งความเกลียดชังนั้นได้มุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ขณะที่ Stop AAPI Hate (องค์กรที่ต่อสู้กับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังต่อคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก) ได้รวบรวมเหตุการณ์จากความเกลียดชังตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2020 ซึ่งเกิดขึ้นมากกว่า 9,000 ครั้ง โดยมากกว่า 63 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนั้นเกิดกับผู้หญิง

6."เอฟ นครนายก" ตัดพ้อ ส.บิลเลียด ห้ามแข่งชิงแชมป์ประเทศไทย เหตุกลัวแย่งแชมป์คนอื่น ก่อนสุดท้ายได้ลงแข่ง แต่ต้องต่อแต้มให้คู่แข่ง 7 แต้มทุกเฟรม

มาต่อกันที่วงการสนุกเกอร์ก็มีดราม่าอยู่เหมือนกัน หลังจากที่ เอฟ นครนายก หรือ เทพไชยา อุ่นหนู นักสนุกเกอร์เบอร์ 1 ของไทย มืออันดับ 41 ของโลก ได้ออกมาโพสต์ระบายผ่านหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเปิดเผยว่า ถูกฝ่ายจัดการแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทย ห้ามลงแข่งขันในรายการชิงแชมป์ประเทศไทย สนามสุดท้ายของปี 2564

ซึ่งเจ้าตัวได้โพสต์เปิดใจผ่านเฟซบุ๊กด้วยข้อความว่า "มีการห้ามผมลงแข่งชิงแชมป์ประเทศไทยด้วยแฮะ อุตส่าห์ตั้งใจบินกลับไปแข่ง เสียค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งที่มันเป็นรายการยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย และแทบจะไม่เคยได้ลงแข่งเลย แต่มาห้ามกันอีก เออ เป็นงง" #มาตรฐานที่ไม่มีมาตรฐาน"

อย่างไรก็ตาม สุดท้าย เอฟ นครนายก ก็ได้รับแจ้งในภายหลังว่า สามารถลงแข่งขันได้ แต่จะต้องต่อแต้มให้คู่แข่ง 7 แต้มทุกเฟรม ตามกติกาที่มืออาชีพโลก ที่ต้องต่อมือสมัครเล่น และสุดท้าย เอฟ นครนายก ก็จอดป้ายที่รอบ 96 คน หลังแพ้ให้กับ “เสือสอง” บรรดิษฐ์ เขียวสุทธิ ไป 3-4 เฟรม 60-15, 56-9, 10-92, 89-8, 91-12, 24-76, 35-64 

7."เมย์" รัชนก อินทนนท์ สูญเสียคุณแม่คำผัน 

ข่าวเศร้าของ "เมย์" รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย หลังจากที่ต้องสูญเสีย คุณแม่คำผัน สุวรรณศาลา มารดาสุดที่รัก ที่เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน สาเหตุเนื่องจากมีอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ

โดย น้องเมย์ ได้ออกมาโพสต์หลังเหตุการณ์สุดเศร้าว่า “ขอบคุณทุกกำลังใจและข้อความมากเลยนะคะสำหรับวันนี้ เมย์ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน พูดไม่ออก มืดหมด 8 ด้าน ขอบคุณทุกอย่างที่แม่ให้เมย์มาเสมอ ขอบคุณที่คอยอยู่เคียงข้างเมย์และฟังทุกอย่างเกี่ยวกับเมย์ ที่เมย์ไม่รู้จะคุยกับใครมาเสมอ แม่เข้มแข็งจนเมย์ไม่รู้ว่าภายใต้ความสู้ของแม่ ทำให้เมย์ไม่ได้ทันตั้งตัวที่จะเจอ ไปไม่ลากันเลยสักคำนะแม่ แม่อาจจะไม่อยากบอกว่าที่จริงแล้วแม่ไม่ไหว แต่แม่เก็บทุกอย่างเองทั้งหมด วันนี้แม่หลับสบายแล้วนะ แม่คอยดูความสำเร็จของเมย์เลยนะ จะทำให้แม่ให้ได้ ไม่ว่าจะหนักหนาขนาดไหนก็ตาม (ล่าเหรียญทองโอลิมปิก) แม่จะอยู่ในใจลูกเมย์แสนดื้อคนนี้เสมอ แม่ที่เข้มแข็งสุดใจมากจริงๆ”

8.ฟ้าวันใหม่ ล้มมวย-"เสี่ยโบ๊ท" สุดเจ็บปวด

ถือเป็นดราม่าใหญ่ของวงการมวยไทยในปีนี้ จากกรณีที่ ฟ้าวันใหม่ ช.ไทยเศรษฐ์ แพ้น็อกไปในยกที่ 4 ให้กับ หลานย่าโม ว.วัฒนะ ไปแบบพลิกล็อก ในการแข่งขันมวยไทยรายการ “ทรูโฟร์ยู มวยมันส์วันศุกร์” ที่ จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา และสุดท้าย ฟ้าวันใหม่ สารภาพว่าล้มมวยจริง

ทำให้ “เสี่ยโบ๊ท” ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์ศึกเพชรยินดี ผู้ให้การสนับสนุน ฟ้าวันใหม่ ถึงกับผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ที่นักมวยที่เขาให้โอกาสในการกลับตัวกลับใจ จากที่เคยเป็นเซียนมวยแล้วไปชักดาบคนอื่น ให้กลับมาเป็นนักมวยอีกครั้ง แต่ดันทำเรื่องที่ย่ำแย่แบบนี้

ขณะที่ ฟ้าวันใหม่ ออกมาเล่าย้อนที่มาในการรู้จักคนจ้างวานล้มมวย ถูกชวนขึ้นรถเสนอเงินครึ่งล้านบาท พร้อมยอมรับเสียดายโอกาสดีๆ ในการกลับคืนสู่วงการมวย แต่ตัวเขากลับทำลายมันลงไปด้วยมือของตัวเอง พร้อมกราบขอขมา "เสี่ยโบ๊ท"

"ก่อนหน้านี้ตนอยากได้เงิน 500,000 บาท เพื่อมาทำฟาร์มไก่ชน คนนั้น (บุคคลจ้างวาน) มาซื้อน้ำพริกผม แล้วก็ให้เงินเลย 5,000 บาท ทั้งๆ ของราคาไม่กี่ร้อยบาท แล้วก็โอนเงินเข้าบัญชีผมอีก 2,500 บาท แล้วเขาก็โทรหาว่ากำลังจะผ่านมาแถวนี้ จะมาซื้อน้ำพริกอีก พอมาถึง เขาก็ชวนผมขึ้นไปบนรถ เขาก็บอกผมว่า จะให้ผมล้มมวยนะ จะให้ 500,000 บอกว่าไอ้คนนี้ (คู่แข่งเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม) มันเก่งกว่าเอ็งเยอะ ล้มไปเลยก็ได้เงินไปดีกว่า ซึ่งตอนนี้ผมก็ไปบอกตำรวจแล้ว ส่วนตอนที่ตัดสินใจทำไปนั้นผมคิดว่าทำไปแล้วจะไม่มีใครรู้ ก่อนหน้านั้นรวมถึงครั้งนี้ ผมเคยล้มมวยแล้ว 4 ครั้ง ผมก็เสียใจที่เสียโอกาสไป ทั้งๆ ที่ได้โอกาสมาแล้ว ผมก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ ผมก็ขอโทษทุกคน ผมผิดพลาดไปแล้ว ขอขมาเสี่ยโบ๊ทครับ".