พาวเวอร์บอมบ์
กรณีศึกษา : เมื่อวิ่ง 10 กิโลเมตร ใช้พลังงานต่ำกว่า 500 แคลอรี
หลายคนมักจะประสบปัญหา เมื่อวิ่งไปนานๆ น้ำหนักก็ไม่ลดเสียที หรือเผลอๆ น้ำหนักตัวอาจ จะเด้งขึ้นด้วย
ผมเองก็เช่นกันหลังจากร่างกายเริ่มมีการปรับตัวจากการวิ่งเป็นระยะเวลานานราวๆ 3-4 ปี ร่างกายจะเข้าสู่โหมดหรือระบบประหยัดพลังงานมากขึ้น หรือที่เขาเรียกว่ามี Running Economy มากขึ้น กล่าวคือ ใช้ออกซิเจนที่น้อยและอัตราการเต้นหัวใจที่ต่ำกว่าในความเร็วที่เท่ากัน
สมัยเริ่มวิ่ง 10 k ใหม่ๆ ผมใช้พลังงานราวๆ 700 แคลอรี อัตราการเต้นหัวใจเฉลี่ย 155-160 ครั้งต่อนาที เวลาผ่านไป 4 ปีจนถึงวันนี้มีชั่วโมงการซ้อมและจบไอรอนแมนมา 4 ครั้ง ร่างกายเคยชินกับการวิ่ง 10 k ทำให้ผมใช้พลังงานอยู่ที่ 460 แคลอรี เท่านั้น! และอัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย 125 ครั้งต่อนาที
เมื่อประหยัดพลังงานและหัวใจรับภาระของงานเบาลง การเผาผลาญพลังงานต่อวัน หรือ BMR ก็ลดลงด้วย ถ้าผมยังกินอาหารเหมือนเดิมล่ะ? น้ำหนักก็มีสิทธิ์เด้งขึ้นแน่นอน
เพราะฉะนั้นแล้วยิ่งร่างกายปรับตัวให้ประหยัดพลังงานเท่าไหร่ ผมก็ต้องควบคุมอาหารให้ดีขึ้นด้วย ผมยึดตามหลักของโค้ชนิวที่แนะนำดังนี้ Fit–D
TDEE = BMR+TEF+NEAT+EAT
BMR = กินคาร์บ, โปรตีน, ไขมัน, ไฟเบอร์ ให้เท่ากับความต้องการต่อวัน
TEF = Thermic Effect of food เลือกทานอาหารที่มีโปรตีน ให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นในการย่อยอาหาร เน้นคาร์บเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง โฮลวีท)
NEAT = Non-Exercise Activity Thermogenesis = กระฉับกระเฉง ตั้งเวลาให้ตัวเองออกมาลุกเดินไม่อยู่นิ่งทุก 45 นาทีในเวลานั่งงาน
EAT = Exercise Activity Thermo– genesis = ออกให้หนักขึ้นเปลี่ยนจาก 10k เป็น interval บ้างให้ร่างกายเกิด after burn effect เยอะๆ
เพราะฉะนั้นแล้ว มีวินัยในการออกกำลังกายก็ต้องมีวินัยระหว่างวันและการทานอาหารด้วยนะครับ.
Cr. น้องฮอท หมอแอร์
ooooooo
นี่เป็นบทความที่เป็นประโยชน์จากเพจ avarin running and triathlon. สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมยิ่งออกกำลังกายแล้วทำไมยิ่งอ้วน
รู้เช่นนี้แล้ว ลองปฏิบัติตัวด้วยวิธีใหม่
เชื่อว่าได้ผลแน่นอน...
พาวเวอร์บอมบ์