หน้าแรกแกลเลอรี่

เรียงหน้าชน : รัฐจะฟังไหม

เบี้ยหงาย

22 พ.ค. 2563 05:01 น.

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่อน คลายลง และนำมาซึ่งการคลายล็อก ในระยะที่ 2 ก็มีกีฬาบางชนิดเริ่มจะกลับมาซ้อมได้ โดยมีเงื่อนไขและวิธีการที่ต้องปฏิบัติตามแนวทางที่รัฐวางไว้ อาทิ ยิงธนู แบดมินตัน รวมถึงเทนนิส เริ่มดำเนินการไปแล้ว

แต่ยังคงเป็นเพียงแค่การซ้อมแบบไม่รวมกลุ่มส่วนการแข่งขันนั้นยังเป็นสิ่งต้องห้ามกันอยู่ รอคอยในโอกาสต่อๆไป

อย่างไรก็ตาม เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ เมื่อถูกจำกัด ถูกคุม มาระยะหนึ่งแล้วเริ่มผ่อนคลาย ในความผ่อนคลายนั้น มุมหนึ่งก็รู้สึกโล่งขึ้น หายใจคล่องขึ้น ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ความรู้สึกเดียวกันนี้แหละ กลับไปกดทับความอึดอัดให้มากขึ้นไปโดยปริยาย และทำให้ความอดทนต่ำลงกว่าช่วงไม่ผ่อนคลายเสียด้วยซ้ำ

เลยอยากจะได้มากกว่า และเร็วกว่า มาตรการของรัฐที่ออกมา

นั่นจึงมีเสียงเรียกเสียงร้องจากคนกีฬาให้เพิ่มชนิดกีฬาในการคลายล็อก ส่วนในกีฬาที่ให้กลับมาซ้อมได้บ้างแล้ว ก็ควรจะขยับให้จัดการแข่งขันได้ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอาชีพ หรือระดับสมัครเล่น ในบริบทของทีมชาติทั้งนักกีฬาปกติ และนักกีฬาคนพิการ ที่ต้อง เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในอนาคต

และเสียงเรียกร้องดังกล่าวนี้ ดูจะดังมากขึ้นไปทุกที

อย่าง บอร์ดการกีฬาฯ ที่มาจากผู้แทนสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย “บิ๊กเอ๋” กิตตน์สมบัติ เอื้อมมงคล ก็ออกมาเรียกร้องกันตรงๆ หวังให้ภาครัฐพิจารณาใน “เฟส 3” ซึ่งเชื่อว่าทุกกีฬาจะให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามแนวทางของรัฐ แม้จะต้องมีมาตรการการป้องกันโรคติดต่อที่เข้มข้นเพียงไร

รวมถึงในแวดวงคนมวยไทยที่ออกแอ็กชันมา มีทั้งส่วนที่ประสานหาความร่วมมือจากภาครัฐนำโดย “ชาติซ้าย” สมชาติ เจริญวัชรวิทย์ นายกสมาคมกีฬามวยอาชีพฯ ซึ่งมีการหารือกับ รมต.กีฬา พิพัฒน์ รัชกิจประการ หาทางประสานให้มวยไทยกลับมาชกได้แบบปิดสนามในเดือน มิ.ย.

หรือคนมวยรุ่นใหม่ ที่ออกตัวแรงอย่าง “เสี่ยโบ๊ท” ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ ทายาทของ “เสี่ยเน้า” วิรัตน์ วชิรรัตนวงศ์ แห่งอาณาจักรเพชรยินดี อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 27 ที่โพสต์ลงโซเชียลกับวลีเด็ด “ถ้ามวยไทยต้องเริ่มเดือน ก.ย. สงสัยต้องพาคนมวยไปทำเนียบ พวกเราจะพากันตายหมดแล้วครับ” แถมมีการไลฟ์สดแสดงความเห็นกับเรื่องนี้ด้วยลีลาที่ดุดันเป็นระยะๆ

นี่คือเสียงสะท้อนของคนในวงการกีฬา และ คนมวย ที่ออกมาเรียกร้อง เชื่อว่ายังมีอีกมากมายที่คิดเห็นเป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้

ถึงเวลารึยังที่ภาครัฐซึ่งก็มีกลไก เครือข่ายในด้านกีฬาโดยตรง ทั้งในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือลงมาถึงการกีฬาแห่งประเทศ ไทยที่กำกับดูแลสมาคมกีฬาโดยตรง จะศึกษาลงลึกในรายละเอียด และพิจารณาในแง่มุมที่เป็นจริง ไม่ใช่แค่จัดกลุ่ม แบ่งเฟส มองกันแบบเหมารวม ซึ่งอาจจะเหมาะสมในระยะแรก แต่ไม่ใช่เวลานี้

ไม่มีใครไม่ร่วมมือเพื่อการป้องกันโรค ทุกคน กลัว ทุกคนห่วงว่าตัวเองจะเป็น และจะแพร่ไปสู่สังคม กับคนที่รัก เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ลองลงรายละเอียดแยกย่อย เข้าไปดูแต่ละชนิดกีฬา

แต่ละ วิธีการของการแข่งขัน ยังมีช่องทางให้เดินไปด้วยกันได้อย่างลงตัว และเป็นประโยชน์มากขึ้น

จะรับฟังคนกีฬาบ้างไหม...

“เบี้ยหงาย”