Lemon Juice
รูดม่านปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับมหกรรมกีฬาของชาวอาเซียนอย่าง “ซีเกมส์ 2019” ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งหลังการชิงชัยเกือบ 2 สัปดาห์ ในที่สุดก็ไม่ผิดคาด เมื่อ “เจ้าภาพ” คว้าตำแหน่งเจ้าเหรียญทองไปแบบแบเบอร์
ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ผิดหวัง เสียใจ หรือชินชากับมาตรฐานในแบบฉบับอาเซียน ขออนุญาตละไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะคงมีประเด็นให้ถกเถียงกันไม่รู้จบ
เอาเป็นว่าถ้าเก่งจริง ไปเจอกันนอกอาเซียนดีกว่า วัดมาตรฐานกันไปเลยในระดับเอเชียนเกมส์ หรือโอลิมปิกเกมส์ พอถึงเวทีระดับโลกจะเป็นสิงห์ที่ผงาดบนสังเวียน หรือเป็นแค่สมันน้อยที่คอยให้ชาวบ้านเค้าเชือดเล่นเป็นขนมหวาน คงได้รู้กันใน “โตเกียวเกมส์” กลางปีหน้า
ส่วนประเด็นที่อยากจะหยิบยกขึ้นมาคุยในวันนี้ คงเป็นเรื่องที่สะเทือนไปทั่ววงการกีฬาโลกเมื่อต้นสัปดาห์ หลังจากองค์กรต่อต้านสารกระตุ้นโลกอย่าง “วาดา” สั่งแบน “รัสเซีย” พ้นจากการเข้าร่วมการแข่งขันทุกรายการ เป็นเวลาถึง 4 ปี
ข้อนี้เข้าใจตรงกันทั้งหมดว่า ในโอลิมปิกฤดูร้อนและหนาว รวมถึงทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกของกีฬาชนิดต่างๆ จะไม่มีชื่อของนักกีฬา “รัสเซีย” ไปยืนท้าชิงแชมป์กับชาวบ้านเขาแน่
ในอดีตไม่แน่ใจว่ามีกรณีดังกล่าวมั้ย แต่นับตั้งแต่จำความได้ แทบไม่มีประเทศไหนที่โดนคำสั่งเชือดชนิดล้างเผ่าพันธุ์มาก่อนเลย
ถ้าใครยังจำกันได้ ในช่วงก่อนถึงโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2016 ที่บราซิล รัสเซียเองก็เคยโดนแบนมาแล้ว แต่นั่นเป็นแค่การแบนเฉพาะนักกีฬาบางประเภทเท่านั้น
แต่ลงลึกในรายละเอียดแล้ว ครั้งนั้นรัสเซียก็เจ็บหนักพอสมควร เพราะนักกีฬาประเภทความหวังอย่างกรีฑา โดนถอนโควตาไปถึง 68 คน ว่ายน้ำ, เรือพาย, วอลเลย์บอล, มวยปล้ำ, เรือแคนู ยาวไปจนถึงยกน้ำหนัก ทำให้สิริรวมแล้ว ทัพหมีขาวโดนแบนไปเมื่อ 4 ปีก่อนราว 100 คน
แม้ “วาดา” จะออกมาบ่นว่า รู้สึกผิดหวังที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี ไม่มีมติสั่งแบนรัสเซียทั้งหมด แต่ โธมัส บาค บิ๊กบอสของไอโอซีก็ยังเปิดช่องว่างให้สหพันธ์กีฬาของแต่ละประเภท สั่งแบนเองได้ทันที หากมีเหตุสมควร
ถึงจะโดนตัดแขนตัดขายังไง แต่รัสเซียก็ยังเป็นรัสเซียวันยังค่ำ โดนแบนนักกีฬาไปร้อยกว่าชีวิต แต่ก็ยังโกยเหรียญกันมันส์มือ ทำให้ในโอลิมปิก 2016 ที่บราซิล ทัพนักกีฬาจากแดนหมีขาวซัดไป 19 ทอง, 17 เงิน กับอีก 20 ทองแดง รวมทั้งสิ้น 56 เหรียญ จบในอันดับ 4 ของตาราง
ถือเป็นสถิติที่น้อยที่สุดของรัสเซีย ในการเข้าร่วมโอลิมปิกฤดูร้อน นับตั้งแต่ปี 1996 หรือหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย
ส่วนคำตัดสินของ “วาดา” ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบอย่างมากกับรัสเซีย ถึงขั้นที่ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ถึงกับควันออกหู พร้อมป่าวประกาศแบบเสียงดังฟังชัดว่า แบบนี้มันมีนัยซ่อนเร้นอย่างแน่นอน ต้องมีการอำพรางและแอบแฝงทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่จะว่าไป รัสเซีย เอง ก็น่าจับจ้องอยู่ไม่น้อยในเรื่องการใช้สารกระตุ้น แถมไม่เคยทำตัวเองให้เคลียร์ หรือขาวสะอาดอย่างที่ชาวบ้านเขาต้องการเลย ซ้ำยังหมกเม็ด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าจับได้ว่าใช้สารกระตุ้นก็โชคดีไป แต่ถ้าจับไม่ได้ ก็เข้าทางทันที
ถึงแม้ว่า รัสเซีย จะได้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์เพื่อเรียบร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง ต่อศาลอนุญาโตตุลาการกีฬาโลก หรือ ซีเอเอส (CAS) ภายในระยะเวลา 21 วัน แต่มองดูแล้วโอกาสช่างเลือนรางเหลือเกิน ที่คำสั่งแบนจะถูกยกเลิก
จากนี้ไปคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า ทัพนักกีฬาของรัสเซียจะพยายามดิ้นกันแบบไหน หลังไอโอซีเปิดช่องให้คนที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารกระตุ้น สามารถลงแข่งขันได้ภายใต้ธงโอลิมปิก ไม่ใช่ธงชาติรัสเซีย
ยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวกับทีมชาติไทยโดยตรง เพราะถ้ารัสเซียอุทธรณ์ไม่ผ่าน โควตาวอลเลย์บอลหญิงก็จะตกไปถึงเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในการแย่งตั๋วใบสุดท้ายระดับทวีป
และถ้าส้มหล่นใส่เกาหลีใต้แบบไม่ต้องเสียเหงื่อ โอกาสซิวตั๋วใบสุดท้ายในฐานะตัวแทนจากเอเชีย ก็เปิดกว้างแบบสุด ๆ สำหรับทีมสาวไทย
อย่างไรก็ตาม ถึงคุณจะชอบหรือไม่ชอบรัสเซียอย่างไร แต่การขาดหายไปของขุนพลจากแดนหมีขาว ในมหกรรมกีฬาใหญ่ ๆ อย่างโอลิมปิก หรือฟุตบอลโลก
มันก็คงจะดูหงอยๆ ซึมๆ หน่อย เหมือนเพื่อนเก่าที่เคยเจอกันบ่อย ๆ ตามสนามบอล ที่เคยไล่เตะ ไล่หวดคุณแบบกัดไม่มีปล่อย
แต่พอวันหนึ่งที่ขาดเขาไป คุณอาจจะทำอะไรได้ดีกว่าเดิมก็จริง แต่มันคงไม่ได้ฟีลเหมือนเดิมแน่.
-LEMON JUICE-