หน้าแรกแกลเลอรี่

เปิดเส้นทางใหม่ "โค้ชหมี" กับขวบปีแรก ในฟุตซอลลีกแดนอิเหนา

ไทยรัฐออนไลน์

14 ส.ค. 2563 06:25 น.

เรียกได้ว่าผลงานไฉไลจนคนตกใจทั้งเกาะชวา เมื่อ “โค้ชหมี” รักษ์พล สายเนตรงาม พาทีมอย่าง “แบล็กสตีล” จากที่เกือบจะกลายเป็นทีมแพแตก ก้าวขึ้นมาเป็นเต้ยของลีกได้อย่างสุดเซอร์ไพรส์ นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม เอ ไร้พ่ายใน 14 นัดแรก

แต่ผลงานกว่าจะเป็นที่โจษจันขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด เพราะกว่าจะพาทีมเดินมาจนถึงจุดนี้ “โค้ชหมี” ต้องผ่านจุดพลิกผันหลายต่อหลายอย่าง ซึ่งวันนี้เราจะไปเจาะเส้นทางมาให้ได้รับทราบกัน

อดีตกุนซือโต๊ะเล็ก “ฉลามพลังเพลิง” ย้อนความหลังให้ฟังว่า การได้มาทำงานต่างแดนเริ่มต้นขึ้นจากความสนใจของผู้บริหารแบล็กสตีล ที่เดินทางมาทาบทามถึงเมืองไทย และเพียงแค่การเจรจาไม่นาน ทุกอย่างปิดดีลอย่างง่ายดาย เพราะความ “ท้าทาย” คือสิ่งที่เย้ายวนใจอยู่ในอนาคต

“ดีลนี้เกิดขึ้นระหว่างฟุตซอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 ซึ่งทางแบล็กสตีลส่งผู้จัดการทีมมาติดต่อ และเราได้บอกกับประธานสโมสรพีทีที บลูเวฟ ชลบุรี ว่าต้องการไปหาประสบการณ์คุมทีมในต่างแดน ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็รับไว้พิจารณา ก่อนที่จะสุดท้ายจะอนุญาตให้เราเดินทางไปคุมทีมที่อินโดนีเซีย”

“จริงๆ เขาคาดหวังกับเราค่อนข้างสูงอยู่แล้ว เพราะเคยเห็นผลงานสมัยที่คุมบลูเวฟฯ ซึ่งถือว่าเขาให้เกียรติเรามาก และแน่นอนว่าความคาดหวังก็สูงตามไปด้วย”

“ถามว่ากดดันไหม มันก็เป็นความกดดันเหมือนกันนะ แต่แตกต่างจากที่เมืองไทย และที่ผ่านมาได้ เพราะเราพยายามทำมันอย่างเต็มที่ พยายามปรับตัวให้เข้ากับประเพณี วัฒนธรรม และแนวทางการเล่นของเขาให้ได้เร็วที่สุด”

ถึงแม้จะมีดีกรีความสำเร็จในเมืองไทย ที่พกข้ามน้ำข้ามทะเลไปเต็มกระเป๋า แต่สิ่งที่ “โค้ชหมี” เจอแล้วถึงกับช็อก ก็คือขุนพลหลักระดับทีมชาติ ย้ายออกไปเกือบหมด ทำให้กุนซือชาวไทยรายนี้ต้องเริ่มตั้งต้นใหม่กับเด็กท้องถิ่น

“ตอนแรกที่มาบอกเลยว่าค่อนข้างช็อก เพราะตัวทีมชาติอินโดนีเซียย้ายออกไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวที่เข้ามาแทนคือนักเตะท้องถิ่นจากเมืองปาปัว ซึ่งคุณภาพและระบบต่างๆ ว่ากันตามตรงก็สู้นักเตะระดับทีมชาติไม่ได้อยู่แล้ว”

“ทำให้ตอนนั้น เรื่องจะเป็นแชมป์หรือไม่ เขาไม่ได้กดดันเราเท่าไร ขอแค่เราเข้าไปพัฒนานักเตะท้องถิ่นให้ดีขึ้น ซึ่งผลงานที่ทำมาตลอดฤดูกาล ก็ค่อนข้างสร้างความพอใจให้กับผู้บริหาร และแฟนบอลเองก็เซอร์ไพรส์ เพราะเราทำทีมแบล็กสตีล ซึ่งใช้นักเตะท้องถิ่นส่วนใหญ่ให้ขึ้นมาเป็นทีมชั้นแนวหน้าของประเทศได้ ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว”

“จริงๆ ก่อนจะมาที่นี่ ก็มีการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้พอสมควร แต่ว่าที่เรามาตอนแรก เพื่อนโค้ชชาวอินโดนีเซียที่รู้จักกัน เขาก็บอกว่าเรามาทำไม เพราะตอนนี้แบล็กสตีลไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว”

“แต่ที่เราได้เจอกับตัวแล้วรู้สึกเซอร์ไพรส์คือ เด็กท้องถิ่นเขามีพัฒนาการเร็วมาก เวลาซ้อมเขามีความตั้งใจ ไม่คิดเลยว่าเวลาแค่ปีเดียว เขาพัฒนาได้ขนาดนี้ ก็รู้สึกดีใจกับผลงานตัวเอง และประทับใจกับลูกทีมทุกคน”

ถึงแม้จะเริ่มต้นได้ดี แต่น่าเสียดายที่ซีซั่นนี้ยังไม่จบ ก็มีปัญหาใหญ่มาขัดขวางทางสู่แชมป์ซะก่อน เมื่อโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก และอินโดนีเซียเองก็เป็นหนึ่งในชาติได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก

“ตอนแรกปัญหาที่คิดว่าจะเจอคือเรื่องภาษา เพราะโดยส่วนตัวภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่โชคดีที่ผู้ช่วยโค้ชซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซีย เขาเป็นคนที่ปรับจูนกับเราได้ค่อนข้างเร็ว อีกอย่างฟุตซอลก็เป็นภาษาสากลอยู่แล้ว ทำให้การปรับตัวค่อนข้างง่าย”

“แต่ปัญหาใหญ่ที่เจอจริงๆ คือ ตอนที่มีโควิด-19 แพร่ระบาดเข้ามาในอินโดนีเซีย ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แถมยังเป็นอันตรายกับชีวิตด้วย ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถึงเป็นปัญหาใหญ่สุดที่เคยเจอมา”

เมื่อถามถึงความต่างและระยะห่างระหว่าง ไทย กับ อินโดนีเซีย ในปัจจุบัน “โค้ชหมี” รักษ์พล สายเนตรงาม ยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า ถึงช่องว่างจะค่อนข้างกว้าง แต่เราเองก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะถ้าทัพ “รันตูบอย” สามารถยกระดับแท็กติกของทีมขึ้นมาได้เมื่อไร จะกลายเป็นทีมที่อันตรายขึ้นมาในทันที

“ระยะห่างระหว่าง ไทย กับ อินโดนีเซีย ในตอนนี้ ถ้านับแค่เรื่องความสามารถเฉพาะตัว เราอาจเหนือกว่าเขาอยู่เล็กน้อย แต่ในเรื่องของแท็กติกฟุตซอล เขายังสู้เราไม่ได้ ส่วนเรื่องระยะห่างระหว่างไทยกับอินโดฯ ก็ยังถือว่ายังมีช่องว่างอยู่ระดับหนึ่ง”

“แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่สามารถประมาทเขาได้เลย เพราะตอนนี้ทีมชาติอินโดนีเซียมีโค้ชญี่ปุ่นเข้ามา (เคนซูเกะ ทากาฮาชิ) ช่วยให้ทีมพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผมมองว่าถ้าเขามีแท็กติกที่ดีขึ้น บวกกับความสามารถเฉพาะตัวที่ดีอยู่แล้ว ก็จะเป็นทีมที่อันตรายในอาเซียนได้ในอนาคต”.

ผู้เขียน : สุภาพบุรุษพุงตึง

กราฟิก : Supassara Taiyansuwan