ไทยรัฐฉบับพิมพ์
คนกีฬาแห่ชื่นชมและแสดงความยินดีกับ "ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ" นายกสมาคมกีฬามวยไทย หลังรับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา จากจุฬาฯ ในฐานะที่สร้างคุณงามความดีให้กับวงการกีฬาไทยมาตลอด โดยเฉพาะการเป็น “ผู้นำ” ผลักดันมวยไทยเข้าสู่การรับรองของโอลิมปิกสากล ระบุปีหน้าจะเร่งพัฒนาทั้งระบบมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันสู่ “ปารีสเกมส์” ปี 2024 ที่ฝรั่งเศส...
วันที่ 1 ธ.ค.60 พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ประธานสภามวยไทยโลก ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรองนายกรัฐมนตรี, นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีให้กับ ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ นายกสมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย หลังได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ 7 รอบ กกท.หัวหมาก ท่ามกลางบุคคลสำคัญในวงการกีฬาร่วมแสดงความยินดีและชื่นชมอย่างคับคั่ง
พล.อ.เชษฐาเปิดเผยว่า ส่วนตัวต้องขอแสดงความยินดีกับ ดร.ศักดิ์ชาย ที่ได้รับการยอมรับในครั้งนี้ จนทางจุฬาฯเล็งเห็นผลงานและความสำคัญในด้านต่างๆมอบปริญญาเอกให้ แม้ว่าการทำงานที่ผ่านมาจะต้องพบกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆก็ตาม แต่ตัวเองและ ดร.ศักดิ์ชายไม่เคยบ่นเพราะมันเป็นการเสียสละ ทำงานเพื่อประเทศชาติ หากจะกล่าวถึงผลงานและการบริหารงานที่ผ่านมาของ ดร.ศักดิ์ชาย คงเอ่ยไม่หมด แต่ที่คนไทยทั้งประเทศและคนทั่วโลกรู้ดีคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “เจ้าบาส” สมรักษ์ คำสิงห์ เมื่อครั้งคว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์แรกในโอลิมปิกเกมส์ปี 1996 ที่แอตแลนตา ประเทศสหรัฐฯ จากกรรมการผู้ตัดสินหลายชนิดกีฬาได้ผันผวนตัวเองมาเป็นผู้ว่าการ กกท. พร้อมนโยบายการขับเคลื่อนกีฬาของชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โครงการต่างๆที่ใช้ในปัจจุบันนี้ก็เกิดขึ้นมาในสมัย ดร.ศักดิ์ชายเป็นผู้ว่าการ กกท. แม้ว่าตัวท่านเองจะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ยังเข้ามาดูแลสมาคมกีฬามวยไทย และพัฒนาในด้านต่างๆจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก
ขณะที่ ดร.ศักดิ์ชายเผยว่า ต้องขอบคุณคณะกรรมการในสภาจุฬาฯ ที่เล็งเห็นความสำคัญของตัวเองจนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นใบที่ 2 เพราะใบแรกที่ตัวเองจบ “ด็อกเตอร์” มาจากประเทศออสเตรเลีย ส่วนตัวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ 4 ส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ คือ
1.ผู้บังคับบัญชาที่ให้โอกาสได้ทำงานในด้านต่างๆ 2.เพื่อนร่วมงานที่ดีทั้งฟุตบอล, รักบี้, มวย และพนักงานใน กกท. 3.ผู้ให้การสนับสนุน หรือสปอนเซอร์ที่ดูแลมาตลอด และ 4.ครอบครัวที่ให้เวลากับตัวเองในการทำงาน หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปคงไม่เดินทางมาถึงจุดนี้แน่
จากนี้ไปตัวเองยังมีภาระหน้าที่อีกมากมาย โดยเฉพาะในปีหน้านี้จะต้องเร่งทำงาน หรือการโปรโมตมวยไทยให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักมากยิ่งขึ้นทั้งเรื่องการแข่งขัน, การตัดสินที่ยุติธรรม, การบริหารจัดการที่เป็นระบบ ฯลฯ เพื่อเพิ่มการยอมรับของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งขั้นตอนในเวลานี้เรายังไม่อยู่ในการพิจารณาเป็น 1 ใน 28 ชนิดกีฬาสุดท้ายเข้าไปใน อลป. ปี 2020 ที่ญี่ปุ่น แต่แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี จากนี้ไปที่เราได้เสนอไปยังรัฐบาลแล้ว ดังนั้นจะต้องพัฒนาและกระตุ้นทั้งระบบอย่างจริงจัง ส่วนตัวคาดหวังว่า “ปารีสเกมส์” ปี 2024 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ กีฬามวยไทยน่าจะมีโอกาสลุ้นเข้าไปสู่รอบสุดท้ายเหมือนกีฬาประเภทอื่นได้เช่นเดียวกัน