หน้าแรกแกลเลอรี่

กฎการเงินทำ (ช็อป) สะดุด

มะระหวาน

2 ส.ค. 2567 05:11 น.

เหลืออีกแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้นศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาล 2024-2025ก็จะเปิดฉากขึ้นแล้ว โดยจะเริ่มใน 16-18ส.ค.นี้ ส่วนก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ก็จะเป็นเกมคอมมูนิตี้ชิลด์ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี้ พบกับ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เวมบลีย์ วันเสาร์ที่ 10 ส.ค.นี้

ในช่วงนี้บรรดาทีมต่างๆก็อยู่ในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซันกัน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะลุยศึกฤดูกาลใหม่ ส่วนใหญ่บรรดาบิ๊กทีมจะบินไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อทำการเก็บตัว มีอยู่ในยุโรปบ้าง แต่บินมาเอเชียแค่ 2 ทีมเท่านั้น

แต่สิ่งที่แปลกไปเล็กน้อยของบรรดาทีมพรีเมียร์ลีกในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาคือทั้ง 20 ทีมไม่ค่อยจะขยับเสริมทัพกันมากสักเท่าไร โดยเฉพาะบรรดาบิ๊กเนมของลีกก็ไม่ค่อยจะทุ่มทุนสร้างเหมือน 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมาอีกแล้ว ส่วนสาเหตุสำคัญที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าสโมสรต่างๆ ไม่มีเงินให้ช็อปปิ้ง แต่กลัวทำผิดกฎการเงินที่ทางลีกกำหนดเอาไว้

พรีเมียร์ลีกได้กำหนดกฎการทำกำไรและความยั่งยืน Profit and SustainabilityRules หรือ PSR ขึ้นมา โดยกฎนี้มีไว้เพื่อให้การบริหารจัดการสถานะทางการเงินของสโมสรมั่นคงและยั่งยืน หรือเรียกง่ายๆว่าไม่ให้บรรดาสโมสรต่างๆ ทุ่มซื้อนักเตะหรือจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะแบบไม่ลืมหูลืมตา จนสุดท้ายไม่สามารถแบกรับได้ไหวทำให้เป็นหนี้ก้อนโตถังแตกจนทีมล้ม

โดยกฎพีเอสอาร์นั้นระบุว่า สโมสรได้รับอนุญาตให้มีตัวเลขขาดทุนได้สูงสุด 105 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,811 ล้านบาท) ในช่วงระยะเวลา3ปี ซึ่งหากตรวจสอบแล้วว่าทีมไหนขาดทุนเกินกว่ากำหนดก็จะโดนลงดาบตัดแต้มทันที และที่โดนไปแล้วก็คือ เอฟเวอร์ตันที่โดนตัด 8 แต้ม และนอตติงแฮม ฟอเรสต์ ถูกตัด 4 แต้ม ส่วน “จิ้งจอกสยาม”เลสเตอร์ ซิตี้ ก็โดนตั้งข้อหา เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ ที่โดนถึง 115 ข้อหาด้วยกัน

จากการลงดาบที่ตัดแต้มสถานเดียวเท่านั้นทำเอาบรรดาทีมระดับบิ๊กเนมหรือบรรดาทีมต่างๆ ก็ต้องวางแผนการใช้เงินให้ดี เพราะถ้าขาดทุนเกินกว่ากำหนดแล้วมีโอกาสสูงที่จะโดนลงโทษ จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาตลาดซื้อขายนักเตะค่อนข้างเงียบเหงา

ไม่เหมือน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาที่มีนักเตะค่าตัวระดับหลัก 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,522ล้านบาท) หลายต่อหลายคนไม่ว่าจะเป็นมอยเซส ไกเซโด มิดฟิลด์ทีมชาติเอกวาดอร์ และเอ็นโซ เฟร์นานเดซ กองกลางทีมชาติอาร์เจนตินา 2 แข้งจากเชลซี หรือเดแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์เลือดผู้ดีจากอาร์เซนอล แต่ซัมเมอร์นี้เงียบกริบ ขนาดทีมเงินถุงเงินถังอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังแทบจะไม่ขยับใช้เงินเลย

ค่าตัวนักเตะที่แพงที่สุดในพรีเมียร์ลีกในช่วงซัมเมอร์นี้ก็คือ เลนี โยโร ปราการหลังเลือดน้ำหอมที่แมนฯ ยูไนเต็ด จ่ายไป 52.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,386 ล้านบาท) รองลงมาก็คือ แอสตัน วิลลาจ่ายไป 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,290 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัวอมาดู โอนานา มาจากเอฟเวอร์ตัน ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ แม็กซ์ คิลแมน ของเวสต์แฮม และอาร์ชีย์ เกรย์ ปีกดาวรุ่งของสเปอร์ส ที่ค่าตัวอยู่ที่ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,832 ล้านบาท)

ส่วนบรรดาทีมที่จะฟาดฟันกันเพื่อแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกนั้นมีเพียงแค่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รายเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพเลยแม้แต่รายเดียว ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาร์เซนอล และแมนฯ ยูไนเต็ด รวมทั้งเชลซีก็เสริมทัพกันหมด แต่ก็ไม่ได้เยอะเท่าไร

ด้านทีมที่เสริมทัพมากที่สุดในซีซันนี้ก็คือ แอสตัน วิลลา ที่ได้นักเตะมาเสริมทัพมากถึง 8รายแล้ว เนื่องจากอูไน เอเมรี กุนซือชาวกระทิงต้องไปสู้ศึกหนักอย่างยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเสริมทัพมากมายแบบนี้

แม้ว่ากฎพีเอสอาร์จะทำให้การเสริมทัพในทีมระดับท็อปสะดุดและดูไม่ค่อยเร้าใจเหมือนที่ผ่านมา

แต่เชื่อว่าด้วยศักยภาพและขุมกำลังที่แต่ละทีมมีอยู่นั้นเมื่อฟาดแข้งไปแล้วจะเร้าใจเหมือนเดิมสมชื่อลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแน่นอน.

มะระหวาน

คลิกอ่านคอลัมน์ “ตะลุยฟุตบอลโลก” เพิ่มเติม